แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โบรคเกอร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โบรคเกอร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

leverage คืออะไร?

leverage คืออะไร?

คุณ อาจจะเคยคิดว่า นักลงทุนเล็ก ๆ อย่างคุณ จะสามารถเทรดค่าเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร ลองคิดเปรียบว่า โบรคเกอร์ ก็คือธนาคาร ซึ่งเขาอยากให้คุณซื้อค่าเงินมูลค่า 100,000 เหรียญ โดยที่เขาต้องการเงินจากคุณเพียง แค่ 1,000 เหรียญ เพื่อค้ำประกัน ฟังดูง่ายเกินไปในโลกของความจริงใช่ไหม? แต่ว่า นี่แหละคือฟอร์เร็กซ์ และ นี่ก็คือ Leverage ที่เราใช้

จำนวน leverage ที่คุณใช้ ขึ้นอยู่กับโบรคเกอร์ และขึ้นอยู่กับตัวคุณว่า ต้องการใช้เท่าไหร่

โบ รคเกอร์จะให้คุณฝากเงินเข้า ที่เราเรียกกันว่า margin หรือ initial margin เมื่อฝากเงินเข้าบัญชี คุณจะสามารถ เทรดได้ทันที และโบรกเกอร์ก็จะบอกว่า คุณต้องใช้เงินเท่าไหร่ ในการเทรดจำนวน ลอทนั้น ๆ

เช่น ถ้า leverage ที่เราใช้เท่ากับ 100:1 (หรือ 1 เปอร์เซ็นต์ ของ position ต้องใช้) และคุณต้องการเทรดมูลค่า 100,000 เหรียญ โบรคเกอร์จะเรียกมาร์จิ้น 1,000 เหรียญ ดังนั้นถ้ามีเงิน 5,000 เหรียญ จะเทรดได้มากสุดถึง 500,000 เหรียญ

มาร์ จิ้นอย่างต่ำต่อลอท จะแตกต่างกันออกไป ตามแต่ละโบรคเกอร์ จากตัวอย่างข้างบน โบรกเกอร์จะต้องใช้ มาร์จิ้น 1% ซึ่งหมายความว่า ออร์เดอร์มูลค่า 100,000 ซึ่งคุณจะต้องฝากเงินเข้าไป 1,000 เหรียญ เพื่อที่จะฝาก เป็นมาร์จิ้น นั่นเอง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,552.0.html

pip คือ อะไร?

pip คือ อะไร?

การเพิ่มขึ้น หรือลดลง ของค่าเงิน เรียกว่า pip
ถ้า EUR/USD เคลื่อนไหวจากราคา 1.2250 ไปที่ราคา 1.2251 เรียกว่า 1 pip ซึ่ง 1 Pip คือ ตัวเลขทศนิยมตัว สุดท้ายของค่าเงิน จากตัวทศนิยมสี่ตัว (ซึ่งบางครั้งก็ก็อาจจะมีถึงห้าจุด ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวน pip เหมือนกัน) ซึ่งเราสามารถใช้ Pip ในการประมาณผลกำไรขาดทุนได้ แต่ละค่าเงิน มีมูลค่าที่แตกต่างกัน เราจำเป็นต้องคำนวณ มูลค่าของเงิน ต่อความเคลื่อนไหว ต่อ pip ก่อน ในค่าเงิน ที่ที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหน้า จะถูกคิดดังนี้

สมมุติเป็น คู่เงิน USD/JPY มีอัตราแลกเปลี่ยนอยูที่ 119.80
(สังเกตุว่าค่าเงินดังกล่าว จะมีแค่สองจุดทศนิยม ซึ่งค่าเงินส่วนใหญ่จะมีสี่)
ในกรณีของ USD/JPY เคลื่อนไหว 1 จุดจะเท่ากับ .01 ดังนั้น

USD/JPY: 119.80
.01 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.01/119.80 = 0.0000834
ซึ่งออกจะยาวไปหน่อย แต่เดี๋ยวเราจะเริ่มคำนวณ ขนาดของ lot กัน

USD/CHF: 1.5250
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.5250 = 0.0000655

USD/CAD: 1.4890
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.4890 = 0.00006715

ในกรณีที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การหาค่า จะมีวิธีการเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ดังนี้
EUR/USD: 1.2200
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.2200 = EUR 0.00008196
แต่ว่าเราต้องคิดกลับไปเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีซึ่งก็คือ EUR x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.00008196 x 1.2200 = 0.00009999
เมื่อเราปัดเศษ ก็จะได้ 0.0001
GBP/USD: 1.7975
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.7975 = GBP 0.0000556
แต่เราต้องกลับไปคิดเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีหนึ่งซื่งเท่ากับ GBP x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.0000556 x 1.7975 = 0.0000998
ถ้าเราปัศเศษทศนิยมก็จะได้ 0.0001

บาง ทีตอนนี้คุณกำลังอาจจะคิดอยู่ก็ได้ว่า ตกลงแล้วเราต้องคิดทั้งหมดทุกคู่ตลอดเลยรึเปล่า คำตอบคือ ไม่ เกือบทุกโบรคเกอร์จะมีรายละเอียดนี้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มันก็ดีที่คุณจะรู้ว่ค่าเหล่านี้ามาจากไหน จะบอกว่าเรื่องนี้ มีประโยชน์ยังไง ในบทต่อ ๆ ไป

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,550.0.html

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures


ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures


                  ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ Futures
                           ความได้เปรียบ                Forex         Futures
                   เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง           YES            NO
                 ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด*        YES            NO
                    มี leverage สูงถึง 1:400         YES            NO
                       มีราคาที่แน่นอน                   YES            NO
                      ความเสี่ยงมีจำกัด                  YES            NO

สภาพคล่อง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ มีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้าน ๆ เหรียญต่อวัน เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเราเทียบ กันกับตลาดอื่นแล้ว ทำให้ปริมาณหรือขนาดของตลาดทุนอื่น ๆ ดูเล็กลงไปทันที ตลาดฟิวเจอร์เทรดอยู่ราว ๆ 30,000 ล้านเหรียญต่อวัน ตลาดฟิวเจอร์ไม่สามารถแข่งกับตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะมีปริมาณการเทรดที่จำกัด หมายความว่า ฟอร์เร็กซ์ ออร์เดอร์สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ก็ตามได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการคลาดเคลื่อนของราคา นอกจาก ในช่วงที่ตลาด มีความผันผวนสูงหรืออยู่ในภาวะที่ไมปกติเท่านั้น

เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ณ.เวลาบ่าย 2:15 วันอาทิตย์ (ตามเวลาสากล และท้องถิ่น)
ตลาดเริ่มเทรดที่ ซิดนีย์ และสิงคโปร์
เวลา หนึ่งทุ่มตรง ตลาดโตเกียว เปิดทำการ
ตามตลาดลอนดอนเวลาตีสอง
และ สุดท้ายตลาดนิวยอร์คเปิดเวลา 8 โมงเช้า
และ ปิดที่เวลา 5 โมงเย็น
ดัง นั้นก่อนที่ตลาดนิวยอร์คจะปิด ตลาดสิงคโปร์ และตลาดซิดนีย์ ก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว และก็วนอย่างนี้ ไม่รู้จัก จบสิ้น จนสุดสัปดาห์
ใน ฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ทำให้ต้องสนใจกับ ข่าวดีหรือข่าวร้าย ที่เกิดขึ้นด้วยการเทรด ถ้าเหากว่ามีข้อมูลที่สำคัญ ออกมา จากอังกฤษ หรือว่า ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะปิด นั่นหมายความ ถ้ามันเปิดตลาดมาวันต่อไป ราคาต่อวิ่งกระฉูดแน่นอน
(ตอนกลางคืน แม้อาจจะมีการเทรดฟิวเจอร์ค่าเงินอยู่บ้าง แต่ว่าปริมาณการเทรดก็เบาบาง ไม่มากนัก และยากเกินไป สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะเข้าเทรด)

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด
อะไร สำคัญที่สุดในการเทรดค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เพราะคุณติดต่อโดยตรงกับ market maker ทางโปรแกรมออนไลน์ คุณไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้คนกลางไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือขาย แต่ว่าก็ยังมี ค่าใช้จ่าย นิดหน่อย คือค่า Spread ในการเทรดฟิวเจอร์ หรือการเทรดหุ้น หรือ Equity ก็มีเหมือนกัน โบรคเกอร์ จะได้ผล ตอบแทนจากค่า spread แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

มีราคาที่แน่นอน
เมื่อ เทรดฟอร์เร็กซ์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะได้รับการส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว และได้ราคาที่คุณคิดไว้ ภายใต้ภาวะ ตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน ราคาของฟิวเจอร์ หรือ equity คุณอาจจะไม่ได้ราคาที่คุณอยากซื้อ หรือสามารถส่งคำสั่ง แล้วได้ออร์เดอร์นั้นทันทีทันใด แม้ว่าคุณจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขนาดไหน หรือ โบรคเกอร์ของคุณสามารถ ส่งคำสั่งได้เร็วขนาดไหน ราคาที่คุณต้องตั้งไว้นั้น อยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน เพราะเมื่อคุณส่งราคานั้นออกไป มันเป็น ราคาสุดท้ายที่มีการเทรด แต่ไม่ใช่ราคาที่ตัวสัญญาระบุราคาไว้ (เพราะว่าฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายราคาในอนาคต)

ความเสี่ยงมีจำกัด
นัก เทรดจะมี Position Limit วัตถุประสงค์เพื่อจัดการความเสี่ยง ตัวเลขนี้เกี่ยวกับจำนวนเงินในบัญชีเทรดของ เทรดเดอร์ ความเสี่ยงถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงในตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะโปรแกรมที่นักเทรดใช้อยู่ จะเรียก มาร์จิ้น เพิ่มอัติโนมัติ (margin call) เมื่อเทรดเดอร์ไม่มีมาร์จิ้นเหลืออีก ออร์เดอร์ที่เปิดอยู่จะถูกปิดทันทีตามขนาด ของ Position ที่เปิดอยู่ ในตลาดฟิวเจอร์ Position ของคุณจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปตลอด ถ้ามันขาดทุน หรือว่า มีมูลค่า ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่โบรคเกอร์กำหนด คุณต้องใส่เงินจำนวนที่เท่ากับจำนวนที่ขาดทุน เข้าไปในบัญชี มันเป็นเรื่องบ้ามาก

เหตุผลที่นอกเหนือจากข้อดังกล่าว

ไม่มีคนกลาง

คน กลางในการแลกเปลี่ยน สามารถทำให้เราได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการเทรด โดยการผ่าน คนกลางคือ ความสัมพันธ์ของคนกลาง ซึ่งระหว่างกลุ่มเทรดเดอร ์และด้านผู้ซื้อ ด้านผู้ขาย ในตลาดการทุน ทุกเครื่องมือทางการเงิน ต้องมีค่าใช้จ่าย ที่เราต้องจ่ายให้คนกลาง ซึ่งอาจจะคิดเป็นเวลา หรือเป็นค่าธรรมเนียมตายตัว ก็แล้วแต่ แต่การเทรดค่าเงินนั้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง และเทรดเดอร์ยังสามารถเทรดได้กับตลาดโดยตรงซึ่ง market maker เป็นผู้รับผิดชอบต่อออร์เดอร์ ที่เทรดเดอร์เป็นผู้ส่งราคานั้น ๆ ดังนั้น ฟอร์เร็กซ์ ซื้อขายได้ทันท่วงทีมากกว่า และยังมีต้นทุน ที่ถูกกว่าอีกด้วย

ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้
หลาย ๆ ครั้งที่อาจจะได้ยินว่า กองทุน A กำลังเทขาย X หรือ กำลัง ซื้อ Z มีข่าวลือว่ากองทุนกำลังจะ เทขาย ทำกำไร เพราะว่าถึงเวลาใกล้ปิดบัญชีแล้ว หรือว่าจะเป็นวัน "triple witching day"(เป็นวันที่ สัญญาออพชั่น หรือ ฟิวเจอร์ หมดพร้อมกันทั้ง index และก็ตัวหุ้นเอง) , และเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่ออกมาอธิบายว่าทำไม หุ้นถึงขึ้น หรือทำไม ตลาดอยู่ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดกระทิง ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เคลื่อนไหว ไปตามกองทุนไม่ว่าจะ ซื้อหรือขาย ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ การเข้ามาควบคุมตลาดได้ของธนาคารขนาดใหญ่หรือกองทุนใหญ่ ๆ มีน้อยมาก ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ รัฐบาล หรือแม้แต่บริษัทรับแลกเงินต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นแค่ผู้เทรดในตลาดทั่วโลก ซึ่งทำให้มันมีสภาพคล่อง หรือมูลค่ามหาศาลนั่นเอง

นักวิเคราะห์ กับ บริษัทโบรคเกอร์ มีบทบาทน้อย ในการชักนำตลาด
คุณ เคยได้ยินเรื่องหุ้น หรือไม่ว่า บทวิเคราะห์ที่โบรคเกอร์ออกมาให้คำแนะนำ เช่น ซื้อ เมื่อหุ้นราคากำลังปรับฐาน มันเป็นธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้ ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาเตือน และไม่สนับสนุน การกระทำของโบรคเกอร์ แต่ว่าเราก็ยังได้เห็นมันอยู่ การเปิดขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสในการได้เป็นมหาชนของบริษัท และยังเป็นโอกาส ในการทำ กำไรของโบรคเกอร์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ ก็ทำงานให้โบรคเกอร์ อยู่แล้ว และโบรคเกอร์ก็ต้องการลูกค้า ก็เป็นธรรมดา ที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และเราก็ยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยไป ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดใหญ่ มีปริมาณการเทรดเป็นพัน ๆ ล้านจากธนาคารทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก และเพราะ มันเป็นตลาดการเงินของโลก นักวิเคราะห์ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาด ให้กับ เทรดเดอร์ได้ พวกเขาเพียงทำได้แค่ ่วิเคราะห์ตามภาวะตลาดเท่านั้นเอง

หุ้น 8,000 ตัว กับ 4 ค่าเงิน
มี หุ้นอยู่ในตลาดหุ้น New York Stock exchange.ประมาณ 4,500 ตัวและ อีกราว ๆ 3500 ตัวในตลาด NASDAQ. คุณเทรดตลาดไหนอยู่ คุณจะมีเวลาที่ไหนไปหาบริษัทที่มีผลประกอบการจากบริษัททั้งหมด แปดพันกว่าบริษัท แต่ ในตลาดค่าเงิน เรามีค่าเงินเพียงไม่กี่คู่ และ่ส่วนใหญ่ที่เทรดกัน มีแค่ 4 ค่าเงิน การดู 4 ค่าเงินง่ายกว่า การดูหุ้น 8 พันตัว คุณคงคิดเองได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,545.0.html

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น
                    ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง  ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
                         ความได้เปรียบ                     Forex       หุ้น
                     เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง            YES          NO
                   ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด            YES          NO
                   สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที          YES          NO
                     สามารถเล่น Short Sell ได้         YES          NO

เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,544.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การทำ Hedging สำหรับผู้เริ่มต้น


Hedging strategy
hedging strategy หรือ กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง เป็นกลยุทธ์การเทรดเพื่อป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน โดยที่จะเปิดออเดอร์ทั้งสองทาง ( Buy-Sell) ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเทรด EUR/USD คุณเปิดทั้งออเดอร์ Buy และ Sell ไว้อย่างละ 1 ออเดอร์ ออเดอร์ละ 1 lot ดังนั้น ไม่ว่าราคาจะวิ่งไปในทิศทางใด คุณก็จะไม่มีทางได้หรือเสีย ยอดรวมบัญชีของคุณจะความสมดุล หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเสี่ยงในการเทรดของคุณเป็น 0
แล้วกลยุทธ์แบบนี้มันน่าสนใจตรงไหนล่ะ ?
ที่ น่าสนใจก็ตรงที่ กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง หรือ Hedging นี้ถูกนำมาใช้เพื่อปกป้องผลกำไร และใช้ประโยชน์ได้เมื่อเวลาที่ราคามีการปรับตัว


การป้องกันเงินทุน 
ถ้า ออเดอร์ที่คุณเปิดมีการป้องกันความเสี่ยง ก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย แม้ว่าจะมีความผันผวนเกิดขึ้นกับคู่เงินที่คุณเทรด แต่ยอดเงินทุนของคุณก็จะไม่เปลี่ยนไปเลย การป้องกันความเสี่ยงจะถูกนำมาใช้เมื่อมีการเปิดออเดอร์ไปแล้วแล้วเกิดไม่ มั่นใจในทิศทางของราคาในอนาคตขึ้นมา ก็จะใช้การ Hedging เพื่อเป็นการป้องกันผลกำไรที่มีอยู่จากออเดอร์ที่เปิดไว้แล้ว


ตัวอย่างที่ 1 
คุณ เปิดออเดอรN Buy ที่ตำแหน่ง 1.3950 หลังจากนั้นราคาได้ขึ้นไปและปิดที่ 1.4000 แต่คุณไม่แน่ใจว่า ราคาจะผ่านแนวต้านที่ระดับนี้ไปได้หรือไม่ (แนวต้านที่ 1.4000)  ดังนั้นคุณจึงป้องกันความเสี่ยง (Hedge) โดยการ Sell เพื่อให้คุณได้รอดูว่าราคาจะผ่านแนวต้านนี้โดยที่ออเดอร์ของคุณยังปลอดภัย นอกจากนี้แล้วยังเป็นการป้องกันผลกำไรของคุณที่มีอยู่ก่อนหน้าในตำแหน่ง Buy ด้วย
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้

ถ้าราคาวิ่งผ่านแนวต้านที่ 1.4000 ก็เท่ากับว่าได้เสียกำไรที่ควรจะได้จากการเปิดเออเดอร์ Buy ครั้งแรก เพราะตั้งแต่จุดที่ทำการ Hedge ด้วย ออเดอร์ Sell เราจะไม่ได้กำไรเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คุณได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น นั่นก็คือ ราคาได้ทุผ่าน 1.4000 ขึ้นมาได้แล้ว ทีนี้เราก็สามารถกำหนดวัตถุประสงค์ใหม่ในการเทรดสำหรับออเดอร์แรกที่ Buy ไว้ได้แล้ว ซึ่งคุณอาจจะปิดออเดอร์ที่คุณ Sell ไว้ แล้วปล่อยให้ออเดอร์ Buy ครั้งแรกของคุณทำกำไรต่อไป หรือแม้แต่เลือกที่จะเปิดออเดอร์ Buy เพิ่มนั่นก็แล้วแต่คุณ
อีกกรณีหนึ่งก็คือ ถ้าราคาไม่ทะลุผ่านแนวต้านที่ 1.4000 ขึ้นไป แต่ราคากลับลงไปที่ 1.3950 แต่คุณยังเชื่อว่าราคาจะต้องกลับชึ้นไปในทิศทางเดิม ก็สามารถที่จะปิดออเดอร์ที่ Short ลงมาจาก 1.4000 แล้วเก็บกำไรตรงส่วนนี้เอาไว้ก่อน และยังเก็บออเดอร์ Buy ของคุณเอาไว้ ผลกำไรที่คุณได้จากตรงนี้ก็เท่ากับว่าเป็นกำไรจากการ Buy ครั้งแรกไปจนถึงตำแหน่ง 1.4000 นั่นเอง เท่ากับว่าคุณได้ปกป้องกำไรในส่วนนั้นไว้ และตอนนี้คุณก็จะต้องเผชิญหน้ากับความผันผวนจากความเสี่ยงในออเดอร์ Buy ของคุณอีกครั้งหนึ่ง

ตัวอย่างที่ 2
คุณ Buy EUR/USD ตั้งแต่ 1.3950 และราคาในปัจจุบันคือ 1.4000 แต่กำลังจะมีการประกาศข่าวที่สำคัญของค่าเงิน USD และคุณคาดว่าจะมีความผันผวนที่อาจทำให้ราคาวิ่งไปชนจุด Stop Loss ของคุณได้ คุณจึงจะหาทางที่จะปกป้องผลกำไรของคุณโดยการ Hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงของออเดอร์ของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเอา Stop Loss ของคุณออกได้ชั่วคราวในช่วงที่มีความเสี่ยงจากภาวะราคาผัวผวนมากๆจากข่าว และที่นี้คุณก็สามารถืออเดอร์รอดูข่าวได้อย่างไม่ต้องมีความเสี่ยงใดๆ ถ้าข่าวที่ออกมาส่งผลดีกับออเดอร์แรกของคุณ (Buy) คุณก็สามารถปิดออเดอร์ Hedge (Sell) ของคุณได้เพื่อให้ ออเดอร์ Buy ของคุณวิ่งทำกำไรต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น

ประโยชน์จากการ Hedge เมื่อราคาปรับตัว
คุณ สามารถใช้ประโยชน์จากการ Hedging ออเดอร์ของคุณ เมื่อราคามีการปรับตัวในราคาวิ่งไปตามแนวโน้ม ซึ่งจะทำให้ผลกำไรของคุณเพิ่มเป็น 2 เท่า คือ คุณจะได้กำไรจากทั้งการ Buy และ Sell และในการใช้กลยุทธ์นี้ในการเทรด คุณควรจะต้องรู้ก่อนว่าจุดกลับตัว หรือจุด Retracement นั้นอยู่ตรงไหน เพื่อที่จะเข้าออเดอร์ได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ตัวอย่าง
คุณ คาดว่า EUR/USD จะวิ่งในทิศทางขาขึ้น คุณจึงเปิด Buy ที่ 1.3950 และเป้าหมาย Take profit ของคุณอยู่ที่ 1.4100 ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.4000 และคุณคาดว่าราคาจะลงมาพักตัวที่ระดับ 1.3980 ดังนั้นคุณจึง Hedge ด้วยการ Sell ที่ 1.4000 และคุณ และเมื่อราคาลงมาถึงระดับ 1.3980 คุณก็ปิดออเดอร์ Sell ของคุณ คุณก็จะได้กำไรในส่วนนี้ไปก่อน แต่คุณยังเก็บออเดอร์ Buy ในครั้งแรกของคุณไว้และหวังว่าราคาจะวิ่งไปถึงเป้าหมายของคุณ (1.4100) แต่อย่างไรก็ตาม ที่แน่ๆคุณได้กำไรจากการ Hedge ออเดอร์ Sell ของคุณ กว่า 20 จุดไปเรียบร้อยแล้ว
อันที่จริงในกรณีนี้ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เปิดออเดอร์ Hedge แต่ในการเปิดออเดอร์แรกของคุณก็ทำกำไรได้ 30 จุด อยู่แล้ว ( 1.3980-1.3950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก)
และเมื่อมีการ Hedge กำไรของคุณจะกลายเป็น 50 จุด (1.3980-1.3950 = 30 จากการเปิด Buy ในครั้งแรก และ 1.4000 -1.3980 = 20 ในการเปิด Sell เพื่อ Hedge)
สรุปก็ คือ ถ้ามีการปรับตัวของราคาเกิดขึ้น คุณก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อทำกำไรได้ แต่ถ้าราคาไม่มีการปรับตัว คุณก็อาจจะสูญเสียกำไรส่วนหนึ่งที่คุณควรจะได้รับไป
ตั้งข้อสังเกตว่า บางโบรคเกอร์ไม่อนุญาตให้คุณให้กลยุทธ์การ Hedging ดังนั้น คุณควรสอบถามกับทาง Broker ก่อนว่าเค้าอนุญาตรึเปล่า

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,482.0.html

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สิ่งที่ผู้เทรด Forex จำเป็นต้องทำ

เป็นที่เชื่อกันว่า มากกว่า 50% ของผู้ที่เล่น Forex นั้นขาดทุนในระยะยาว แต่ก็ยังคงมีนักเล่น Forex หน้าใหม่จำนวนมาก กระะโดดเข้ามาในตลาด Forex ทำการซื้อขาย อย่างไร้หลักการ และขาดทุนกลับไป เป็นที่หน้าแปลกใจที่ส่วนใหญ่ของ ผู้เทรดที่ขาดทุนนั้น ทำการเทรดเหมือนพนัน (ไม่ใช่การลงทุน) เงินทุนของพวกเขา เข้าไปในตลาด Forex โดยไม่ได้มีการตรวจสอบกับหลักการเลย ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์ หรือเป็นผู้เริ่มต้น กับตลาด Forex มีสิ่งที่จำเป็น "ต้องทำ" ในการเข้าเทรด Forex เพื่ออบริหารความเสี่ยงอย่างฉลาด และเพิ่มโอกาศในการทำกำไร

สิ่งที่ผู้เทรด Forex ต้องทำ 1 ลงทุนกับสมองของคุณเป็นอันดับแรก
ถ้าคุณต้องการลงทุนในตลาด Forex อย่างจริงจัง การสร้าง ทักษะการเทรด และความรู้ เป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำ การเข้าสมนา Workshop, วิดีโอการสอน, การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม่กระทั้ง หนังสือ เพื่อช่วยให้เราเรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพ เรียนรู้การใช้ กราฟ ทางเทคนิค ประกอบการตัดสินใจการเข้าเทรด เรียนรู้การใช้ indicator เพื่อเป็นตัวชี้จังหวะ การเข้า และออกจากตลาด สร้างประสบการณ์ ด้วยการเทรดผ่านบัญชีจำลอง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพ และสามารถให้คุณเริ่มต้นกับ Forex ได้อย่างราบรื่น และสามารถ ลดโอกาศในการขาดทุนได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ผู้เทรด Forex ต้องทำ 2 เริ่มต้นกับระบบเทรดที่เหมาะสม
เป็นสิ่งที่ฉลาด และควรทำ ที่จะค้นคว้าหาข้อมูล และพิจารณา ระบบของโบรคเกอร์ทั้งหมดที่มี ก่อนที่เราจะเลือกใช้เเพื่อทำการทรดจริง ระบบของโบรคเกอร์ที่แตกต่างกันนั้นเช่น ระบบการแสดงกราฟ ระบบการเทรดอัตโนมัติ ระบบเทรดที่ได้ออกแบบมาอย่างดี
จะช่วยให้งานของเราน้อยลง สิ่งนี้จะช่วยให้เรามีเวลา ที่จะเรียนรู้ตลาด และวางแผนกลยุทธ์ชองเราได้มากยิ่งขึ้น อีกสิ่งที่ทำให้ระบบเทรดอัตโนมัติ นั้นมีประโยชน์มาก นั้นคือ การใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการเทรดโดยใช้อารมณ์ได้

สิ่งที่ผู้เทรด Forex ต้องทำ 3: มีแผนการเทรดอย่างชัดเจน
อย่างที่ผู้เฒ่า ผู้แก่ กล่าวไว้ว่า "การล้มเหลวในการวางแผน เป็นแผนสำหรับความล้มเหลว" การเทรดในตลาด Forex นั้น เหมือนกับการ พายเรือในทะเล คุณจะไม่สามารถไปไหนได้เลย ถ้าไม่มี เข็มทิศ และตัวนำทาง อะไรเป็นจุดประสงค์ของการเทรด? คุณคาดหวังจะได้กำไรจากการเทรดเท่าไหร่? เมื่อไหร่ถึงจะเข้าไปในตลาด? จะลงทุนเท่าไหร่? จะออกจากตลาดที่ราคาเท่าไหร่? ถ้าทั้งหมดไม่เป็นไปตามแผน จะ stop loss เมื่อไหร่? จะทนต่อความเสี่ยงได้ขนาดไหน? แผนการเทรดที่ดี อย่างน้อยควรจะตอบคำถามทั้งหมดนี้ได้ ถ้าแผนการเทรดของคุณไม่ประสบผลสำเร็จ ตรวจสอบ และแก้ไข แผนการเทรดของคุณ ค้นหาสิ่งที่ผิดพลาด แล้วเรียนรู้จากมัน

สิ่งที่ผู้เทรด Forex ต้องทำ 4: มีการบริหารเงินทุนที่ดี
การบริหารเงินทุน เป็นสิ่งที่ควบคุมความเสี่ยงของคุณ และช่วยในการตัดสินใจในการออกจากตลาด โดยให้น้ำหนักจาก โอกาศในการทำกำไร เปรียบเทียบกับ โอกาศในการขาดทุน ตัวอย่างเช่น ในสถานะการหนึ่ง ถ้าไม่เป็นไปตามแผน คุณอาจจะขาดทุน $1000 แต่ถ้าเป็นไปตามแผน คุณจะได้กำไร $500 โดยแผนนี้สำเร็จ 8 ครั้ง จากทั้งหมด 10 ครั้ง นั้นเป็นการดีกว่า การทำกำไร $1000 ถ้าเป็นไปตามแผน แต่ถ้าไม่เป็นไปตามแผนจะขาดทุน $500 โดยแผนนี้สำเร็จเพียงแค่ 1 ครั้งจากทั้งหมด 3 ครั้ง ถ้าคุณลงทุนโดยใช้เงินเก็บของคุณเอง การบริหารเงินทุนนี้ ยิ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโอกาศที่คุณจะพลาดการลงทุนที่ดี เนื่องจากเงินทุนของคุณมีไม่มากนั้น สูง

สิ่งที่ผู้เทรด Forex ต้องทำ 5: ลงทุนอย่างมีวินัย
การเทรด Forex อย่างมีวินัย นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ ความสำเร็จจากการเทรด Forex นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพียงแค่ คุณมีแผนการเทรดที่ดีเท่านั้น อีกสิ่งที่สำคัญ และจำเป็น นั้นคืคุณต้องทำตามแผนนั้นอย่างมีวินัยด้วย เทรดตามแผน และไม่เทรดตามอารมณ์ ถึง จะขาดทุน หรือกำไร ความโลภอาจทำให้กำไรของคุณหายไป ในขณะที่ ความกลัว อาจะทำให้คุณพลาดโอกาศที่ดี ในตลาดได้เช่นกัน

กำไรจากตลาด Forex นั้นสูง และ เร็ว กว่าการเทรดชนิดอื่นมาก อย่างไม่ต้องสงสัย การเข้าถึงตลาดนั้นก็ไม่มีข้อจำกัด, ความลื่นไหลของตลาด, เป็นการลงทุน โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมาก ด้วย อัตรา leverage ที่สูง และ ไม่มีข้อจำกัดในการ Short Selling ทำให้ตลาด Forex สามารถทำกำไรได้สูงมาก จำไว้เสมอว่า การวางแผนการลงทุนอย่างฉลาด โดยการลงทุนให้กับตัวเงก่อน คุณจะได้รางวัลอย่างงามที่ปลายทาง

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,52.0.html

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex

โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?

อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้

ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด

บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว

โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,53.0.html

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พื้นฐานความเข้าใจ กับการเทรด Forex

ตลาด forex นั้นได้เปิดกว้างให้บุคคลทั่วไปได้เเข้ามาทำการซื้อขายได้ เกือบ 10 ปีแล้ว ในสมัยก่อน ตลาด forex เข้าถึงได้เฉพาะสถาบันทางการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร, บริษัทขนาดใหญ่ องค์กร ระดับประเทศ ปัจจุบันนี้ ตลาด forex ได้เปิดกว้างให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาทำการซื้อขายได้ และเป็นประเด็นร้อน ซึ่งทำให้นักลงทุนหลายคนจับตามอง และอยากเรียนรู้มัน

forex คืออะไร? forex เป็นคำย่อของ Foreign Exchange การเทรด forex ก็คือการซื้อขาย สกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ในตลาด forex ซึ่งเป็นตลาดทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปกติปริมาณการซื้อขายต่อวันของตลาด forex นั้นสุงเป็นล้านล้าน USD

ตลาด forex เปิดทำการ 24 ชม ตลอดวัน นั้นทำให้ forex เป็นตลาดที่ทำการซื้อขายได้ลื้นไหลที่สุดในโลก การเทรดของวันจะเริ่มต้นที่ตลาด ซิดนี้ และจบที่ ตลาด นิวยอร์ค, การเทรด forex นั้นไม่มีศูนย์กลางอยู่ในที่ไดที่หนึ่ง นั้นหมายความว่า คุณสามารถเทรด forex จากที่ไหนก็ได้ที่คุณต้องการ และไม่จำกัดเวลา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งสำหรับผู้เทรด

การเทรด forex นั้น จำเป็นต้องเทรดเป็นคู่ เมื่อคุณซื้อเงิน สกุลเงินหนึ่ง นั้นหมายถึง คุณกำลังขายสกุลอื่นอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน
คู้สกุลเงินที่เป็นที่นิยมในตลาด Forex คือ USD/GBP, USD/JYP, USD/CHF และ GBP/USD คุณจะเห็นว่า แต่ละสกุลเงิน
แสดงโดยใช้ตัวอักษร 3 ตัว

USD (United State dollar) คือเงินยูเอส ดอลลาห์
GBP(British pound sterling) คือเงินปอนด์ อังกฤษ
JYP(Japanese yen) คึอเงินเยน ญี่ปุ่น
CHF (Swiss franc) คือเงิน ฟรังก์สวิตซ์

สกุลเงินด้านหน้า ของคู่เงิน หมายถึง สกุลเงิน ที่คุณใช้สำหรับลงทุน ส่วนสกุลเงินด้านหลัง หมายถึงสกุลเงินซื้อลงทุน ตัวอย่าง
USD/GBP หมายถึง คุณใช้เงิน USD เพื่อซื้อเงิน GBP

ในการเริ่มต้น เข้าเทรดในตลาด Forex คุณจำเป็นต้องมี คอมพิวเตอร์ พร้อมกับ การเชื่อมต่อด้วย อินเตอร์เนต ความเร็วสูง เงินทุน ใน บัญชีสำหรับเทรด Forex และระบบการเทรด โดยส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนทั่วไปจะซื้อขายผ่านโบรคเกอร์ ซึ่งทำหน้าที่คอยช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในกระบวนการเทรด

โบรคเกอร์จะได้เงินจากค่าคอมมิสชัน ที่เราเข้าเทรดแต่ละครั้ง ถึงแม่ว่าโบรคเกอร์จะเป็นผู้ส่งคำสั่งซื้อขาย จากเงินทุนของเรา แต่ การตัดสินใจทั้งหมดนั้น จะขึ้นอยู่กับคุณเท่านั้น มาดูว่า โบรคเกอร์ทำอะไรให้กับคุณบ้าง

- นำเสนอ และแนะนำ เกี่ยวกับการซื้อขายแบบเรียลไทม์
- นำเสนอ และแนะนำ ว่าอะไรควรซื้อ อะไรควรขาย จากบทความ และข่าวสาร
- ใช้เงินทุนของคุณเข้าเทรดในตลาด Forex ตามการตัดสินใจ และการส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ของคุณ
- ให้ข้อมูล และซอฟท์แวร์ เพื่อช่วยคุณ ในการตัดสินใจ

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ ได้กล่าวว่า "คุณจะไม่มีทางเข้าใจ ว่า Forex ทำงานอย่างไร จนกว่า คุณจะได้เข้าเทรดในตลาด Forex จริง" เพื่อช่วยให้คุณมีประสบการณ์มากขึ้น โดยไม่ต้องเสี่ยงลงทุนจริง คุณสามารถเปิดบัญชีทดลอง จากเวปไซท์การศึกษา Forex หรือ จากโบรคเกอร์ ได้ จากนั้น คุณจะสามารถจำลองการเทรด อย่างเสมือนจริง และได้เรียนรู้สภาวะตลาดจริง ที่หลากหลาย รวมถึงดู ผลกระทบของสกุลเงินต่าง ๆ จากในอดีตได้

ตลาด Forex สามารถให้โอกาศนักลงทุน หาเงินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาด Forex นั้นมีความเสี่ยง ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่สามารถทำกำไรได้ จากการเข้าเทรดทุกครั้ง นอกจากนี้ ผู้เทรดอาจขาดทุนอย่างหนัก ถ้าไม่ระมัดระวัง หรือไม่ได้ลงทุนอย่างฉลาด

บทความต้นฉบับ (ภาษาอังกฤษ)
Forex - Forex Trading 101 - A Basic Understanding โดย เดวิด ซิลวา (David Silva) 


ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,51.0.html

ระบบ Financial Leverage ในตลาด Forex

Financial Leverage (FL) แปลตรงตัว คือ การงัดเพื่อให้เกิดแรงมากขึ้นทางการเงิน ในการลงทุนในตลาด Forex ก็คือการที่เรายืมเงินทุนจากโบรคเกอร์ไปลงทุน เพื่อก่อให้เกิดกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยปกติค่า Leverage นั้นจะกำหนดโดยโบรคเกอร์ และระบุเป็นสัดส่วนซึ่งก็คือสัดส่วน การลงทุนโดยใช้ทุนของเรา เทียบกับการลงทุนจริงในตลาดโดยยืมทุนจากโบรคเกอร์ ฟังแล้วก็อาจจะงง ๆ มาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ ตัวอย่างแรกกรณีซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราธรรมดา Leverage คือ 1:1 นั้นคือ เราเอาเงินทุนของเราล้วนๆ ไปซื้อหุ้นจริงๆ ธรรมดา หุ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ก็จ่ายจริง ซื้อจริงตามนั้น กำไร หรือขาดทุน ก็คิดจากผลต่างราคาซื้อ กับราคาขาย ตรง ๆ ธรรมดา

ตัวอย่างที่ 2 ลงทุนในตลาด Forex กับโบรคเกอร์ที่ให้อัตราส่วน Leverage 1:100 (แต่ละโบรคเกอร์อาจให้สัดส่วน Leverage ที่แตกต่างกันไป) นั้นหมายความว่า เราใช้เงินทุนของเราเพียงแค่ 1 หน่วย แต่ทำการสั่งซื้อขายในตลาด 100 หน่วย โดยกำไร หรือขาดทุนที่ได้ นั้นก็คิดจาก 100 หน่วยนั้นที่เรายืมโบรคเกอร์ไปลงทุน เช่น เราใช้เงินทุนของเรา 1 USD ซื้อ THB ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน 34.00 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ี่ Leverage 1:100 จะเปรียบเสมือนเราส่งคำสั่งซื้อ THB เข้าไปในตลาดด้วยจำนวนเงิน 100 USD ซึ่งจะทำให้เราได้ THB 3400 บาท เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน USD/THB เปลี่ยนแปลงโดยเงิน THB แข็งค่าขึ้นจาก 34.00 บาท เป็น 33.80 บาท และเราสั่งปิดออร์เดอร์ ที่ 33.80 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ เมื่อแปลงกลับที่อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันในขณะนั้น เราจะได้ USD กลับมา 3400/33.8 = 100.59 USD ในส่วน 100 USD ที่เรายืมโบรคเกอร์มา ก็ต้องคืนไป ส่วนกำไรของเราคือผลต่างที่ได้จากการเทรดรอบนี้ซึ่งก็คือ 100.59-100 = 0.59$ จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่าแค่เงินบาทแข็งขึ้น 20 สตางค์ เราได้กำไรถึง 0.59 USD จากการลงทุนเพียงแค่ 1 USD ซึ่งนั้นก็คือกำไร 59% เลยทีเดียว!!

ในทางกลับกัน ถ้าเงินบาทอ่อนลงมาที่ 34.40 บาท เมื่อแปลงกลับมาเป็น USD จะเหลือ USD มูลค่าในตลาดเพียง 3400/34.40 = 98.84 USD หรือติดลบ 98.84-100 = -1.16 USD ซึ่ง จำนวนเงินตรงนี้ โบรคเกอร์จะหักเงินในพอร์ตของเราจากส่วนที่ว่าง และไม่ได้ใช้เทรด (Available Margin) ตรงนี้จะเห็นได้ว่าการเทรดแบบระบบ Leverage นั้น เราจะสั่งซื้อขาย โดยใช้เงินทั้งหมดในพอร์ตไม่ได้ เราต้องเหลือเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็น Margin ให้กับทางโบรคเกอร์ ถ้าเราเปิดออร์เดอร์อยู่ แล้วเกิดการขาดทุนจน Available Margin เป็น 0 ระบบจะปิดออเดอร์อัตโนมัติทันที และเราต้องจ่ายส่วนที่ขาดทุนทั้งหมดจาก Available Margin ทั้งหมด เพื่อคืนเงินที่เรายืมมาจากโบรคเกอร์ให้ครบ

สัดส่วน Leverage ของแต่ละโบรคเกอร์นั้น จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 1:100 ไปจนถึง 1:500 บางโบรคเกอร์เราสามารถกำหนด Leverage ได้เอง บางโบรคเกอร์ก็ตั้งไว้ตายตัว ดังนั้นก่อนจะสมัครเปิดพอร์ต Forex กับโบรกเกอร์ได้ก็ตาม ควรตรวจสอบ Leverage ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ให้ดี และเลือกให้เหมาะสมกับการเล่นของตัวเองครับ 

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,50.0.html