แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Divergence แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Divergence แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

 อย่าง ที่เรารู้กันดีว่า คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรจะมีอย่างหนึ่งของระบบเทรดที่ดี คือ ใช้ง่าย ดูง่าย ไม่ซับซ้อน ในบทความก่อนหน้าเราได้แนะนำให้ท่านได้รู้จักกับหลักการทำงานและเทคนิคเล็กๆ น้อยๆในการวิเคราะห์กราฟด้วย EMA200 กันไปแล้ว ในบทนี้เราก็มาแนะนำการสร้างระบบเทรดแบบง่ายๆ ด้วย EMA200 กับเครื่องมือพื้นฐานที่มีมากับโปรแกรมเทรดทั่วไป

เทรดด้วย EMA200 กับ MACD
ถ้า พูดถึง MACD คงไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ไม่รู้จัก MACD เป็นเครื่องมือที่คลาสสิคตลอดกาล เป็นที่นิยมกันมากไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ กลักการทำงานโดยทั่วไปของ MACD สามารถเข้าไปดูได้ที่บทความเรื่อง MACD ในส่วนนี้เราจะใช้เครื่องมือ 2 อย่างคือ EMA200 และ MACD เซทค่าพื้นฐานคือ 12,26,9
รูปแบบการเทรดแบบแรก คือ การเทรดเมื่ออยู่ในเทรนที่ชัดเจน  จากภาพตัวอย่าง EMA200 บอกเราว่าราคาอยู่ในเทรนขาลง แล้วเราใช้สัญญาณจาก MACD เพื่อระบุจุดเข้า- ออก ออเดอร์ของเรา พิจารณาจากภาพตัวอย่างต่อไปนี้


ตาม ตัวอย่างเป็นราคาอยู่ในเทรนขาลง เราจะเข้าเซลอย่างเดียว (เทรดตามเทรน) และจะเข้าเมื่อ Histoream ของ MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับของเส้น MA หรือ เราอาจจะรอให้ Histogram ลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ Zero Line ก็ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นการยืนยันว่าลงแน่ๆแล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วจะไม่รอค่ะ จะเข้าตั้งแต่จังหวะแรกตามภาพ และเมื่อมีการยืนยันก็จะเปิดออเดอร์ซ้ำเข้าไปอีกค่ะ แต่เทรดเดอร์บางคนที่เคร่งครัดมากๆ ก็จะรอให้มีการยืนยันก่อนจึงค่อยเข้า และการออกจากออเดอร์ เราจะออกเมื่อ Histogram ของ MACD ปรับระดับขึ้นไปอยู่เหนือเส้น MA เป็นการออกแบบเซฟกำไรค่ะ จะเข้าออเดอร์ใหม่เมื่อมีสัญญาณรอบใหม่ ส่วนในการเทรดเมื่อเป็นเทรนขาขึ้นก็ใช้หลักการเทรดอย่างเดียวกัน ลองพิจารณาภาพตัวอย่างค่ะ


 เมื่อ ราคาเป็น Sideway ราคาจะวิ่งคอลเคลียอยู่กับเส้น EMA 200 ที่แทบจะไม่มีความชันเลย และ Histogram ของ MACD ก็แคบ และน้อยมาก ดังนั้นเราจะรอ ให้ ราคาตัดผ่านเส้น EMA200 อย่างชัดเจน และ Histogram ของ MACD มีขนาดกว้างขึ้น และอยู่สูงกว่าเส้น MA (ในกรณีที่เป็นเทรนขาขึ้นตามภาพตัวอย่าง)


ลักษณะ ของเทรนที่อ่อนแอ นอกจากจะสังเกตได้จากความชันของ EMA200 แล้ว เรายังสามารถดูสัญญาณยืนยันความอ่อนแอของเทรนได้จาก MACD ด้วย ในภาพตัวอย่าง เป็นการยืนยันเทรนที่อ่อนแอด้วยสัญญาณ Divergence ของ MACD เป็นการเตือนให้เราเตรียมตัวออกจากออเดอร์บาย และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเทรนในเร็วๆนี้


 แต่ นอกจาก Divergence จะเตือนเราว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มแล้ว ในบางครั้งก็อาจจะเป็นแค่สัญญาณการพักตัวของเทรนที่อ่อนแอ ก่อนที่จะมีแรงไปต่อในทิศทางเดิม ดังนั้นเราก็ควรจะมีการวางแผนรับมือที่ดีเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิด ขึ้นด้วย

การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR
Parabolic SAR เป็นเครื่องมือพื้นฐานอีกตัวหนึ่ง หลักการทำงานโดยทั่วไปคือบอกแนวโน้มและจุดที่จะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้ ด้วยจุดไข่ปลาเล็กๆที่เรียงกัน ถ้าจุดไข่ปลาอยู่ด้านบนจะแสดงถึงแนวโน้มขาลง และถ้าสุดไข่ปลาอยู่ด้านล่างก็แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น จุดไข่ปลานี้จะเรียงต่อกันไปตามโมเมนตัมของราคาเหมือนเป็นแนวรับแนวต้าน ธรรมชาติของราคา ตัวอย่างเช่น ถ้าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น SAR จะเป็นจุดไข่ปลาที่เรียงตัวต่อกันอยู่ใต้แนวแท่งเทียน และเมื่อราคามีการกลับตัวลงมาต่ำกว่าระดับของจุดไข่ปลา จุดไข่ปลาก็จะไปปราหฎอยู่ที่เหนือแท่งเทียนแท่งต่อไปแทน นั่นก็จะเป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มมีการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้ว ให้เราออกจากออเดอร์บาย แล้วเข้าเซลแทน


 การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR เราก็จะยึด EMA200 เป็นตัวบอกเทรนหลัก และเข้าออเดอร์ด้วยสัญญาณจาก SAR ดังตัวอย่างตามภาพ


 ใน ตัวอย่างราคาอยู่เหนือ EMA200 เป็นเทรนขาขึ้น เราจึงจะเข้าออเดอร์บายอย่างเดียว การเข้าออเดอร์เราก็ดูสัญญาณ SAR เมื่อเริ่มมีจุดไข่ปลาขึ้นที่ใต้แท่งเทียนเราก็เข้าบาย และออกจากออเดอร์เมื่อมีจุดไข่ปลาของ SAR เกิดขึ้นที่เหนือแท่งเทียน
ระบบ การเทรดง่ายๆ 2 ระบบนี้ เป็นตัวอย่างการสร้างระบบโดยการใช้ EMA200 เป็นมาเป็นตัวบอกแนวโน้มของราคา แล้วใช้เครื่องมืออีกตัวมาช่วยในการบอกจุดเข้า-ออก ซึ่งเราอาจจะไม่ใช้เป็น MACD หรือ Parabolic SAR แต่อาจใช้เป็นเครื่องมืออื่นแทนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ในการสร้างระบบเทรดของเราเองนั้น ก่อนอื่นต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าตัวคุณต้องการมองหาอะไรจากกราฟ แล้วเครื่องมือไหนที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของคุณได้ หลังจากนั้นจึงทดลองและศึกษาเครื่องมือนั้นๆให้เข้าใจหลักการทำงานของมันจน สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่านี้ระบบเทรดง่ายๆของคุณก็อาจกลายเป็นระบบเทรดที่ทำกำไรได้ไม่แพ้ระบบเท รดเทพๆที่ขายกันในราคาหลักร้อยเหรียญดอลลาร์ได้เหมือนกันค่ะ
หวังว่าบท ความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับใครหลายๆคนที่กำลังค้นหาระบบเท รดของตัวเองอยู่ จำไว้ว่า ระบบเทรดที่ดีไม่จำเป็นต้องเยอะหรือยุ่งยาก ทำให้มันง่ายเข้าไว้ ยิ่งง่ายเท่าไหร่ก็จะช่วยให้การตัดสินใจในการเทรดของคุณง่ายขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดก็จะน้อยลง (เพราะไม่ต้องคิดเยอะ)

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,571.0.html

Divergence and Convergence

Divergence and Convergence (ไดเวอร์เจนซ์ และ คอนเวอร์เจนซ์)

Divergence and Convergence Trading
สวัสดี ครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ขอนำเสนอ วิธีการเทรดโดยการดู Divergence วิธีนี้เทรดเดอร์มือใหม่ควรจะเรียนรู้เอาไว้นะครับ เพราะสามารถใช้ทำกำไรได้ดีทีเดียว เทรดเดอร์บางคนเทรดมาหลายปีแล้วยังไม่รู้เลยครับ ว่า

Divergence และ Convergence คืออะไร วันนี้ผมจะเขียนบทความให้อ่านนะครับ
Divergence เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกแบบหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในการวิเคราะห์ ในตลาดฟอเร็กซ์หรือแม้แต่ตลาดหุ้น  เพราะ Divergence เป็นวิธีการเทรดที่ง่ายและเข้าใจง่าย


    Divergence คือ การแยกออกจากกัน ความขัดแย้งกันของราคาและตัวชี้วัด(Indicator) หมายความว่า ทิศทางของราคาและทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะตรงกันข้ามกัน


    Convergence คือ การลู่เข้ามาหากัน ลู่เข้ามาบรรจบกัน ในการวิเคราะห์เราจะหมายความว่า ทิศทางของราคา และทิศทางของตัวชี้วัด Indicator จะไปในทิศทางเดียวกัน

ตัวชี้วัด Indicators ที่ใช้ในการดู Divergence และ Convergence ที่ใช้กันทั่วไป ส่วนมากจะเป็น Oscillators Indicator คือ Indicators ที่วัดการแกว่งของราคา ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) , Moving Average Convergence Divergence (Macd) , Stochastic Slow (Sto) , Commodity Channel Index และ William's Percent Range (W%R)
ตัวชี้วัดเหล่านี้ ผมได้ทดลองใช้แล้วพบว่าดีที่สุดสำหรับการดู Divergence

     Divergence มี 2 ประเภท คือ Divergence Bullish คือ ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดเก่า (Low)  แต่ตัวชี้วัด(indicator) ทำจุดต่ำสุดใหม่(New Low) สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า(Low)  ดูรูปด้านล่างครับ


Bullish Divergence

จากรูปจะเห็นว่าความชันของ Indivator จะเป็นบวก

EX. Bullish Divergence Chart เป็นกราฟ ของ GBP/USD


- ทริคในการดู Bullish Divergence ให้ได้ผลออกมาดีที่สุด คือ เราต้องรอให้ราคาที่มาทำ New Low มีการดีดตัวกลับก่อน ตรงตำแหน่ง New Low ต้องเกิด Bullish Candle คือมีการดีดตัวกลับ แล้วเราจึงมาดู Indicator ว่า New Low มันสูงกว่า Low เดิมมั้ย ถ้ามันสูงกว่า นี่คือสัญญาณ Bullish Divergence เราสามารถเปิดออเดอร์ Buy(Long) ได้เลยครับ



    Divergence Bearish คือ ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) สูงกว่าจุดสูงสุดเก่า (Low) แต่ตัวชี้วัด (Indicator) ทำจุดสูงสุดใหม่ (New High) ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า (High) ดูที่รูปด้านล่างครับ



จากรูปเราจะเห็นว่า ความชันของอินดิเคอร์เตอร์ จะเป็นลบ

Ex. ตัวอย่างกราฟ Divergence Bearish เป็นกราฟ EUR/USD 4 H

จาก รูปเราจะเห็นว่า ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่า แต่อินดี้ของเรากลับทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าเก่า แบบนี้เราเรียกว่า Divergence Bearish ครับ

ทริคในการสังเกตไดเวอร์เจนประเภทนี้ คือเราต้องรอให้ราคาหยุดนิ่งก่อน อย่าไปสวนขณะที่มันกำลังพุ่งขึ้นเด็ดขาด ต้องรอให้มีการกลับตัวเล็กน้อย โดยดูจากแท่งเทียน ถ้ามีแท่งเทียนกลับตัว Bearish Candle , Reverse Candle และมาดูที่ Indicator ถ้ามันต่ำกว่า High เก่า เราก็สามารถ Sell (Short)
ได้เลย

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,569.0.html

Convergence Bearish

Convergence Bearish

สัญญาณคล้อยตามกัน หรือมีทิศทางเดียวกัน ระหว่างราคาและตัวชี้วัด
วันนี้เห็นกราฟอียู 30 นาที แสดงลักษณะของ Convergence (อ่านว่า คอนเวอร์เจนซ์)
ราคา .. ราคาได้แสดงจุดสูงสุดใหม่ที่เกิดขึ้นต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่าที่ราคาเคยทำ จากรูปที่ผมได้วงไว้ จะเห็นว่า H2 ต่ำกว่า H1 และ H3 ต่ำกว่า H2 ลักษณะเช่นนี้ คือ ลักษณะของการเกิดแนวโน้มขาลง (Down Trend)

Indicator : มาพิจารณาที่ตัวชี้วัดกันบ้างนะครับ เราจะเห็นว่าจุดสูงสุดใหม่ของ Indicator ก็จะต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่าที่มันเคยทำไว้ และเมื่อเราลากเส้นเปรียบเทียบกันเราก็จะพบว่า Slop หรือความชันลาดลง นี่แสดงให้เห็นว่า Indicator กำลังบ่งบอกเราว่าจะเกิดแนวโน้มขาลงในไม่ช้า

เปรียบเทียบระหว่าง ราคาและ Indicator
- เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าสุดสูงสุดเก่า และ Indicator ก็ทำจุดสูงสุดใหม่ ต่ำกว่าสุดสูงสุดเก่า ลักษณะแบบนี้เราเรียกว่า Convergence
Bearish

    คอนเวอเจ้น(Convergence)คือสัญญาณคล้อยตามกันหรือมีทิศทางเดียวกันระหว่างราคาและ Indicator
    การดูสัญญาณ Convergence จะช่วยให้เราวิเคราะห์กราฟได้ง่ายขึ้น
    นอกจากจะดูสัญญาณ Convergence แล้ว เราต้องดู สัญญาณ Divergence ด้วย
    Divergence คือ สัญญาณขัดแย้งกัน หรือมีทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน ระหว่าง ราคากับ Indicator
    สัญญาณ Convergence จะบ่งบอกการกลับตัวได้ดีกว่า สัญญาณ Divergence
    สัญญาณ Divergence ไม่ได้บ่งบอกว่า ราคาจะกลับตัว แต่จะบ่งบอกว่า สภาวะตลาด ณ ช่วงเวลานั้นเริ่มอ่อนแรงแล้ว และจะเกิดการพักตัว

- สิ่งที่ผมเขียนทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ตรงกับทฤษฎีที่ได้กำหนดไว้ แต่สิ่งที่ผมเขียนคือพฤติกรรมของกราฟ ณ ปัจจุบัน ลักษณะแบบนี้พบบ่อยมากในกราฟฟอเร็ก

- เราไม่จำเป็นต้องตามทฤษฎีเป๊ะ ๆ แต่เราเอาวิธีการนั้นนำมาประยุกต์ใช้กับนิสัยการเทรดของเรา เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จจากตลาดฟอเร็กได้ครับ

 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,566.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Volume ในตลาด Forex

การใช้ประโยชน์จาก Volume ในตลาด Forex

พูดถึง Volume ทุกคนรู้ว่ามันคือ ตัวชี้วัด "ปริมาณการซื้อขาย" นั่นเอง แต่เทรดเดอร์ไม่มากนักในตลาด Forex ที่รู้จักการใช้ Volume Indicator อาจเป็นเพราะเขาคิดว่ามันไม่ได้บอกสัญญาณที่สำคัญอะไรก็เลยไม่เอามันออกมา ใช้ วันนี้เราจะมาคุยเรื่องของเจ้า Volume นี้กันว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง ถ้าคุณใช้เป็นและรู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไรให้เกิดประโยชน์ในตลาด Forex เจ้า Volume นี้อาจทำให้พอร์ตคุณโตขึ้นก็ได้

แล้วเราจะไปหาเจ้า Volume Indicator มาจากไหนล่ะ ? อันที่จริง MT 4 มี Volume เป็น Indicators พื้นฐานมาให้เราแล้ว แค่คุณคลิ๊กขวาที่ที่กราฟ แล้วกด "Ctrl+L" ก็มีมี Volume ขี้นมาที่กราฟของคุณ หรือถ้าอยากจะได้ Volume ที่แยกออกมาจากกราฟ คุณก็ทำได้โดยการ เข้าไปที่ Menu ด้านบน เลือก Insert > Indicators > Volume>  หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างตั้งค่าของ Volume ขึ้นมา ให้เราเข้าไปที่ Visualization แล้ว เลือกที่ช่อง Show in data window แค่นี้คุณก็จะได้ Volume ที่มี สองสี แยกออกมาจากหน้าต่างหลัก ดูง่าย อยากได้สีอะไร เส้นหนาบางแค่ไหนคุณก็ปรับแต่เอาได้ตามสบายเลยค่ะ

เมื่อทำตามขั้นตอนแล้ว กราฟของเราจะเป็นดังภาพตัวอย่าง


ทำไมเทรดเดอร์ในตลาด Forex ถึงไม่ให้ความสำคัญกับ Volume Indicator ?
อัน ที่จริงแล้ว เจ้า Forex volume indicators นั้นไม่ได้แสดงปริมาณการซื้อขายจริง คือมันไม่ได้แสดงถึงจำนวนเงินเข้ามาในตลาดโดยตรง เพราะตลาด Forex  เป็น Over the counter market  ที่มีปริมาณการซื้อขายที่มหาศาล ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามปริมาณที่แท้จริงของปริมาณเงินที่เข้ามา นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนเชื่อว่า Forex Indicator volume ไม่แสดงการไหลของเงินจริงจึงไม่ใช้มัน

การอ่าน Volume สามารถ

ยืน ยันได้ถึงเทรนที่แข็งแรง หรือ เตือนเราว่าเมื่อไหร่ที่เทรนกำลังอ่อนแอ Volume ที่เพิ่มขึ้น จะบอกได้ว่าเทรนนั้นมีความแข็งแกร่ง และเมื่อ Volume ลดลง ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า เทรนที่กำลังเป็นอยู่นั้น กำลังหมดแรงและอาจใกล้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนเทรนแล้ว

โวลุ่มที่สูง (พรวดพลาด) หลังจากที่โวลุ่มอ่อนค่าลงไป มักจะเป็นสัญญาณว่าเทรนกำลังจะเปลี่ยนไป จุดที่น่าทำการซื้อขายที่สุด ให้สังเกตเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ ที่บริเวณแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ปริมาณการซื้อขายนี้ สามารช่วยตรวจสอบได้ถึงการ Breakout ของราคา ว่าจริงหรือหลอก


การอ่านค่า Volume Indicator ที่มากับ MT4
แท่ง สีเขียวแสดงถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแท่งก่อนหน้า และสีแดง แสดงถึงปริมาณการซื้อขายที่ลดลงมากกว่าแท่งก่อนหน้า อย่าเข้าใจผิดว่าสีเขียวแสดงถึงปริมาณการซื้อที่เยอะกว่า และสีแดงแสดงถึงปริมาณการขายที่เยอะกว่านะคะ


การอ่านสัญญาณจากปริมาณการซื้อขาย
ก่อน อื่นจงจำไว้ว่า ไม่ควรใช้ Volume เพื่อวัดปริมาณการซื้อขายใน Timeframe เล็กกว่า H1 เพราะสัญญาณที่ได้จะน้อยมากและมีสัญญาณรบกวนจากตลาดมากเกินไป และมันยังยากที่จะตรวจสอบได้ถึงสภาวะที่แท้จริงในช่วงระยะเวลาที่สั้นเกินไป ดังนั้น ควรใช้ Volume ใน TF ที่มีขนาดใหญ่ (H1, H4, D, W) เพื่อให้ Volume เก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น

Volume กับ Candle Stick
Volume บอกเราได้ถึงการต่อสู้เทรน แท่งVolume ที่ดีจะบอกเราได้ว่าใครชนะระหว่าง "หมี & กระทิง" อย่างไรก็ตาม  ถ้า Volume มีปริมาณมาก แต่ราคายังไม่ไปไหนเลย ก็เป็นสัญญาณ "อันตราย" เตือนได้ว่าตอนนี้ หมีกับกระทิงกำลังสู้กันอย่างหนัก เดี๋ยวพอได้ผู้ชนะ ราคาก็จะไปทางนั้น

แท่งราคายาว & Volume มาก = Trend  นั่นคือ ราคาจะยังคงเป็นเทรนเดิมต่อไป
แท่ง ราคายาว & Volume น้อย = Fake นั่นคือ สัญญาณหลอก ถ้าแท่งเป็นขาขึ้นก็ขึ้นไม่นาน ถ้าลง ก็ลงไม่นาน อาจเป็นสัญญาณ fail Break out  ถ้าเกิดบริเวณแนวรับแนวต้าน
แท่งราคาสั้น & Volume น้อย = Weak บอกได้ถึง เทรนนั้นกำลังอ่อนแอ ให้เตรียมตัวปิดเก็บกำไรได้
แท่ง ราคาสั้น & Volume มาก = Squat คือสัญญาณว่ามันกำลังเตรียมตัวพุ่งไปทางใดทางหนึ่ง หลังจากหมีกับกระทิงตีกันเสร็จ ใครชนะราคาก็จะพุ่งไปทางนั้น

Volume กับ Divergence
จาก ประสบการณ์ของตัวเองในตลาด Forex พบกว่ายังมีเทรดเดอร์บางกลุ่ม (รวมทั้งตัวเราด้วย) ได้ใช้ประโยชน์จากการดู Volume กับ Divergence ในการอ่านและคอนเฟิร์มรูปแบบ Chart Pattern ต่างๆด้วย โดยที่เราสามารถดู Divergence ได้จาก Oscillator ที่แตกต่างกัน ที่เรานิยมใช้กันมากก็มี RSI , Stochastic และ MACD  เราจะยืนยันว่า Divergence นั้นเป็นจริงได้จากการที่ Volume การซื้อขายลดลงในระหว่างการเกิด Divergence นั้น ถ้าคุณยังไม่รู้จักวิธีการดู Divergence ก็เข้าไปศึกษากันได้ที่
Divergence and Convergence Trading

ตัวอย่างการยืนยัน Divergence ของ Volume


นี่ คือการอ่านค่า Volume Indicator แบบพื้นฐาน สำหรับ ตลาด Forex  อ่านง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิดใช่มั้ยล่ะคะ ลองเอาไปทดลองใช้กันดูนะคะ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะชอบมันก็ได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,480.0.html

การใช้ MACD ทำกำไรในตลาด FOREX

การใช้ MACD(Moving Average Convergence Divergence)
เหมาะในสภาวะตลาดที่เคลื่อนที่เป็นเทรน

ค่าเดิม 12, 26, 9
ค่าใหม่ 15,35,9

สัญญาณเข้า
1. ถ้าตัว Histogram (ภูเขา) อยู่เหนือเส้น Zero line ให้ Buy เราเรียกว่าภูเขาขึ้นบนบก
2. ตัว Histogram (ภูเขา) ถ้าอยู่ใต้เส้น Zero line ให้ Sell เราเรียกว่าภูเขาลงใต้น้ำ
3. ถ้าเส้น Signal 2เส้นห่างกันมาสัก 2-3 แท่งHistogram ให้เตรียม Buy/Sell
4. ถ้าเกิด Divergance ให้เตรียม Buy/Sell ไม่ต้องรอให้อยู่เหนือ-ใต้เส้น Zero line

สิ่งที่ควรระวัง

1. ถ้า Histogram มีความสูงติดๆกับเส้น Zero line ก็ไม่ควรเทรด
2. ถ้าเส้น Signal 2 เส้นติดกันมากก็ไม่ควรเทรด
3. การแก้ Divergance
4. ถ้าเส้น Signal 2 เส้นห่างกันมากก่อนถึงเส้น Zero line ให้เตรียมปิดออร์เดอร์

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,139.0.html