แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตวิทยา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตวิทยา แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การวิเคราะห์ข่าว

ข่าวและการวิเคราะห์ข่าว ดูข่าวไปทำไม????? ???

ที่ ต้องดู เพราะ เราไม่ได้ เล่นไฮโล แทง ขึ้น แทงลง แล้วรอรับผล กรรม อะไรแบบนั้น เป็นความจำเป็นที่เราต้องเข้าใจสถานการณ์ความเป็นไป ของสกุลเงินที่เรา กำลังนำเงินไปลงทุนอยู่ สมมุติว่า ถ้าอีก 3 วัน รัฐบาลอังกฤษจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย แล้วคุณไม่รู้เรื่อง หลับหูหลับตาไปเรื่อย มันคงสนุกน่าดู หรือ สหรัฐพึ่งถูกระเบิดนิวเคลีย (- -.) คุณก็มานั่งบนว่า เอ๊ะ ทำไม กราฟ มันดึ่งลงเหวแบบนี้ มันผิดปกติจริงๆ .-
-ก็นั่น เพราะคุณตกข่าวละครับ

...ใกล้ตัวเข้ามาอีก...

อย่าง ช่วงก่อน กรีซ กำลังขาดดุลมากๆ จนถูกลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศลง จาก A เป็น B ถ้าติดตามข่าว ก็จะทราบว่า กลุ่มชาติสมาชิก อียู ปั่นป่วน ขนาดไหน คนที่เค้ารู้ เค้าก็ ชอต EUR/USD ไว้ ยิ่งเทรนใหญ่ เป็นเทรนลงด้วย ก็รับทรัพย์ไปตามระเบียบ และตอนนี้ กรีซเริ่มมีมาตราการ ขึ้นภาษีสุรา และอื่นๆ ความเชื่อมั่นก็เริ่มกลับมา เราก็จะได้ระวัง ค่าเงินยูโร ไว้บ้าง รอทิศทางชัดเจน ทางเทคนิค EUR/USD ก็เป็นไซด์เวย์ ก็ระมัดระวังตัวกันตามระเบียบ (ข่าวแบบนี้ไม่มีในตารางข่าวปกติ แต่มีในทีวี เว็บไซด์)
ติดตามข่าว Forex Factory  วิธีการดูข่าวจาก Forex Factory มีดังนี้ครับ


ทำตามขั้นตอนเสร็จแล้ว กด Save ครับ ต่อไปดูวิธีการดูข่าวครับ


มาดูความหมายต่างๆ ซึ่งเป็นส่วยสำคัญในการวิเคราะห์ครับ

    Actual : เป็นความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากมีการประมาณการแล้ว
    Forecast : เป็นการประมาณการว่าจะเป็นไปในอนาคต
    Previous : เป็นเวลาก่อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


ยกตัวอย่างครับ


วิเคราะห์ดู EUR ทั้ง 3 ตัวที่ผมวงกลมไว้ครับ

·  EUR ตัวแรก ข้างหน้าจะเป็นสีแดงเข้ม แสดงว่า มีผลต่อตลาดมากที่สุด (สีแดงเข้ม=มีผลต่อตลาดมาก, สีส้ม=มีผลต่อตลาดปานกลาง, สีเหลือง=มีผลต่อตลาดน้อย, สีขาว= ไม่มีผลต่อตลาด)
·  Previous เท่ากับ 45.8 (ก่อนเกิดเหตุการณ์)
·  Forecast เท่ากับ 48.7 (คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น)
·  Actual เท่ากับ 28.7 (เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)
·  สรุปผล : ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของ Garman ZEW ลดลง จาก 45.8% เหลือเพียง 28.7% มีผลทำให้ค่าเงิน EUR อ่อนตัว
·  การนำไปใช้ : เนื่องจากเนื้อข่าวมีผลกระทบต่อตลาดมาก (เพราะเป็นสีแดงเข้ม) ทำให้ค่างเิงิน EUR อ่อนค่าลง กราฟที่อยู่ในตลาด Forex ของ EUR ก็จะสู้ของอีกตัวหนึ่งไม่ได้ เช่น EUR/USD ความน่าจะเป็นของกราฟจะตกลง เพราะแรง USD มากกว่า EUR นั้นเองครับ แต่ไม่ได้หมายความว่ากราฟจะเป็นแบบนี้เสมอไปนะครับ มันมีหลายอย่างที่ต้องวิเคราะห์ครับ

หมายเหตุ : หลักการวิเคาะห์หุ้นนั้น บางครั้งต้องใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยเหมือนกันนะครับ ยกตัวอย่างข่าวด้านบน คนส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ว่าหุ้นนั้นจะลง แต่นักเล่นหุ้นเก่งๆเค้าจะยังไม่รีบขายครับ เค้าจะรอดูว่ามีคนรีบขายเยอะแค่ไหน ถ้ามีไม่มาก พวกนี้เค้าจะรอซื้อหุ้นเพื่อที่จะดันหุ้นให้ขึ้นไปครับ ซึ่งกราฟอาจจะออมมาในรูปแบบ ลงสักแปบนึงแล้วก็ขยับตัวสูงขึ้นครับ แต่มันก็อยู่ที่หลายหตุการณ์นะครับ ต้องวิเคราะห์ให้ดี

สำหรับท่านที่ชอบข่าวเป็นภาษาไทย  www.ryt9.com


การวิเคราะห์ข่าวจากเว็บข่าว Forex Factory
การอ่านข่าวใน ForexFactory.com
Forex News: ข่าวที่มีผลต่อตลาดเงิน จะเป็นข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงินของประเทศต่างๆ ข่าวของแต่ละประเทศ จะมีผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น ข่าวที่มีผลต่อค่าเงินมาก ตัวอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP


ถ้าข่าว เศรษฐกิจ ของประเทศ ออกมาดี เช่น การจ้างงานเพิ่มขึ้น, GDP เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น ตัวเลขออกมาดี คนแย่งกันซื้อ ค่าเงินก็จะสูงขึ้น ตามหลัก อุปสงค์/อุปทาน ถ้าข่าวออกมาเศรษฐกิจ ไม่ดี คนย่อมไม่อยาก จะถือเงินนั้นไว้ พากันเทขายออกมา ค่าเงินจึงลดลง

เมื่อ เรารู้ว่าข่าวทำให้ค่าเงินนั้นๆ ขึ้น จะมีผลต่อราคาคู่เงินที่เราเล่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าข่าวออกมาแล้วค่าเงิน USD (ดอลล่าร์สหรัฐฯ) แข็งขึ้น ดอลล่าร์สูงขึ้น คู่เงินที่มี USD นำหน้า ราคาจะวิ่งขึ้นไป เช่น (USD/JPY, USD/CHF, USD/CAD) และคู่เงินที่มี USD ข้างหลัง ราคาก็จะลดลง เพราะตัวหารเพิ่มขึ้น เช่น (EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD, NZD/USD) ถ้า USD อ่อนลง ก็กลับกัน

 ข่าวที่สำคัญๆ จะมีต่อค่าเงินมาก ณ.เวลาที่ข่าวออก ราคาของคู่เงินอาจ ขึ้น/ลง มากกว่า 100 จุด ขึ้นอยู่กับ ผลของข่าว ผู้ที่ต้องการเล่นข่าวห้ามพลาดเด็ดขาด ผู้ที่เล่นเทคนิค เล่นตามซิกแนล ควรหลีกเหลี่ยงช่วงข่าวสำคัญ จึงควรศึกษาเกี่ยวกับข่าวให้ดี ถ้าเรามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน จะเป็นประโยชน์มากในการวิเคราะห์ข่าวต่างๆ

ขอแนะนำเว็บ www.ForexFactory.com ที่นิยมใช้ในการดูข่าว จะมีปฏิทินแสดงข่าวต่างๆ สามารถดูล่วงหน้า หรือย้อนหลังได้ ถ้ามีเวลาลองเปิดไปดู ข่าวเก่าๆ แล้วลองศึกษาเทียบกราฟราคา ดูผลของข่าวก็ดีครับ


ความหมายข่าวใน ForexFactory.com
ระดับที่เรียกว่าสำคัญมากมีอะไรบ้าง... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
1 Non farm Payrolls
2 Unemployment Rate

3 Trade Balance : โดยปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

4 GDP ( Gross Domestic Production ) : จะประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure) : ประกาศทุก ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

6 CPI ( Consumer Price index ) : ประกาศทุก ๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

7 TICS ( Treasury International Capital System ) : ประกาศทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

8 FOMC ( Federal open Market committee meeting ) : จะประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตรา ดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

9 Retail Sales : ประกาศทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey : ออกทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และสิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

11 PPI ( Producer Price Index ) : ประกาศแถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
ระดับที่เรียกว่าสำคัญ... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน

12 Weekly Jobless Claims : ประกาศทุกวันพฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

13 Personal Income : ประกาศแถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

14 Personal spending : ประกาศแถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

15 BOE Rate Decision ( Bank Of England ) : การประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ 1.อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไป หรือแข็งไป) และ2.อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด (ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany,Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden,Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และSlovenia)
16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
17 Durable Goods orders : ประกาศแถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager ) : ออกทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้

19 Philadelphia Fed. Survey : ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

20 ISM Non-Manufacturing Index : ออกราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

21 Factory Orders : ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

22 Industrial Production & Capacity Utilization : ออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

23 Non-Farm Productivity : ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

24 Current Account Balance : ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว Current Account Balance จะบอกถึงความแตกต่างของเงินสำรอง และการลงทุน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในส่วนของการซื้อขายกับต่างประเทศ ถ้า Current Account Balance เป็น + จะหมายถึงเงินออมในประเทศมีสูง แต่ถ้าเป็น - จะหมายถึงการลงทุนภายในประเทศเป็นเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ถ้า Current Account Balance เป็น + ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment ) : ออกทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน เป็นข้อมูลเดือนปัจจุบัน เป็นการสำรวจในแต่ละครัวเรือน โดยตัวเลขตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริง การที่ตัวเลขมีค่าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า

26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index ) : ออกทุกสิ้นเดือน โดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้ค่าเงินแข็งค่า

27 Leading Indicators : ออกราว ๆ สองสามวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งจะเป็นบทสรุปของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย New Order, Jobless Claim,Money Supply, Average Workweek, Building Permits และ Stock Prices

28 Business Inventories : ออกราว ๆ กลางเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีก ตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่า

29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany ) : ประกาศในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนก่อน ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมัน ตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

ระดับปานกลางถึงทั่วไป โดยมากใช้เป็นตัววัดพื้นฐาน... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
30 Housing Starts
31 Existing Home sales
32 New Home Sales
33 Auto and Truck sales
34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
35 M2 Money Supply - Money Cost
36 Construction Spending
37 Treasury Budget
38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
39 Whole Sales Trade
40 NAPM ( National Association of Pur
chasing Managemen

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,533.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทที่ 3 ราคาทองคำกับปัจจัยทางเทคนิค

เคยสงสัยกันใช่ไหมครับ ว่าราคาเป้าหมายเท่านั้นเท่านี้ ที่นักวิเคราะห์ปล่อยออกมา ทำไมมันถึงได้แม่น หรือใกล้เคียงมาก สมัยก่อนผมเห็นใครให้ตัวเลขราคาเป้าหมายไว้ ผมจะไม่ค่อยสนใจ เพราะคิดว่าคงเดากันไปมากกว่า แต่เมื่อราคานั้นเกิดขึ้นจริง ผมย้อนกลับไปดูราคาที่มีบางท่านเคยทำนายไว้ ก็ต้องทึ่งและเริ่มสนใจศึกษามานับแต่นั้น
ผมคงไม่อธิบายยืดยาวเหมือนใน ตำรา แต่เอาเนื้อๆมาคุยกัน เพื่อความกระชับ สิ่งที่ผมสงสัยมานานเกี่ยวกับตัวเลขมหัศจรรย์นั้น มันเกิดมาจาก

หลัก จิตวิทยา ความกล้า และความกลัวของคนนี่แหละ อย่างเช่น คุณซื้อของมา 100 บาท เพื่อเอาไว้ขายทำกำไร วันนึงเมื่อคุณพบว่า คุณกำลังขาดทุน เพราะราคาของนั้นกำลังตกลงทุกวัน คุณอาจพอใจที่จะขายแม้ราคาจะเหลือครึ่งเดียว ขณะที่บางท่าน รอให้มันกลับมาเท่าเดิมค่อยขาย หรือบางรายอดทนกว่านั้น จะรอให้ราคามันขึ้นจนกว่าจะกำไร ไอ้ความอดทนต่อสถานการณ์ที่ต่างกันไป ก็มีสถิติที่เก็บได้ กลายเป็นตัวเลข แนวต้าน แนวรับ ทางเทคนิคที่สามารถนำมาใช้คาดการณ์ได้นั่นเองครับ
ข้อมูลการลงทุนที่ เหมือนกัน ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้เกิดเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่นโปรแกรม MT4, MetaStock ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ มีการใช้เครื่องมือเหมือนๆกัน มองเห็นอย่างเดียวกัน ดังนั้น คุณไม่ต้องแปลกใจเลยว่า บางครั้ง ตัวเลขที่ออกมา มันแทบจะตรงเป๊ะกับที่ทำนายกันไว้
ในเมื่อรู้เช่นนี้ แล้ว คุณจะยังคิดว่า ปัจจัยเทคนิค ยังจะเป็นเรื่องเหลวไหลอีกมั๊ย? 555 แน่นอนที่สุด คุณต้องตอบว่าไม่ สิ่งที่คุณต้องทำ คือเรียนรู้วิธีวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่ไม่ต้องห่วงว่า มันจะยากครับ ผมอยากจะบอกว่า ง่ายๆ

เป็นไปได้ไง? คุณพยายามเรียนรู้มาตั้งนาน ไม่เห็นจะง่ายแบบผมพูด?

เป็น เพราะว่า ยังไม่มีคนบอกคุณว่า จะต้องไปทางไหนนะสิ เหมือนคุณเรียนรู้การใช้งานโปรแกรมอะไรสักโปรแกรมที่มี function การทำงานครบเครื่อง แต่จริงๆ คุณขอใช้มันแค่ไม่กี่ function คุณก็ได้งานของคุณออกมาแล้ว เท่านั้นเอง
ออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้ครบเครื่อง ผมแค่ใช้งานมันได้ เท่าที่ผมใช้อยู่ เท่าที่มีคนแนะนำผมเท่านั้นเอง และคุณไม่ต้องแปลกใจ ถ้าคุณมาถามนอกเหนือจากที่ผมแนะนำแล้วผมบอกคุณว่า ผมไม่รู้เหมือนกัน 555

สิ่งที่คุณต้องเรียนรู้ คือ คุณแค่รู้ว่า คนอื่นส่วนใหญ่ เขาดูอะไรกัน แล้วคุณก็ดูให้เหมือนเขา ก็เท่านั้นเอง ง่ายมั๊ยครับ เมื่อก่อนผมหัดเองใหม่ๆ ดูคนโน้นวิเคราะห์ที คนนี้วิเคราะห์ที จับต้นชนปลายไม่ถูก ทำไปทำมา ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย จนวันนึง น้องชายผม ที่เคยอยู่ในตลาดหุ้น มาบอกผมว่า

“เฮ้ย ดูแค่ไอ้เส้น Fibonacci ก็พอ ไปดูอะไรเยอะแยะวะ งงเปล่าๆ ไอ้เส้นโน้นเส้นนี้น่ะ ใครๆก็ต่างคนต่างขีด ตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง แต่ไอ้ Fibonacci นี่อ่ะ มันขีดยังไง ก็ได้ที่เดียวกันโว้ย!!!”

ผมตา สว่างเห็นธรรมทันทีครับ แต่ผมไม่ได้ดูแค่ Fibonacci ตามที่มันบอกหรอก ผมจับจุดได้ว่า ให้ดูไอ้ที่มันเหมือนชาวบ้านส่วนใหญ่เขาดูกัน อย่าไปแหกคอก ว่างั้น

เกริ่นมาถึงตรงนี้ บางท่านที่กำลังหัดๆอยู่ ผมอาจไม่ต้องสอนแล้วมั๊ง ส่วนท่านที่กำลังหัด รออ่านบทต่อไปนะ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,473.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค

กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค
มีที่มาหรือแนวความเชื่ออยู่ 3 ประการคือ

1. พฤติกรรมของราคาหุ้น ได้ดูดซับทุกสิ่งออกมาแล้ว
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลต่ออุปสงค์ อุปทานของหุ้น
ข้อมูลสำคัญของการวิเคราะห์จะพุ่งไปที่ปริมาณการซื้อขาย

2. ราคาจะเคลื่อนไหนไปตามแนวโน้มเดิม จนกระทั้งแนวโน้มเดิมหมดลงจริงๆ

3. พฤติกรรมในอดีตมักจะซ้ำรอยในตัวมันเอง "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"

จะเห็นได้ว่ากระบวนการคิดต่างๆในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น พื้นฐานจริงๆมาจากจิตวิทยาของมนุษย์
ดัง นั้น การวิเคราะห์การเหมือนกับการเทรดโดยจิตวิทยาของนักลงทุน ไม่ใช่เทรดโดยการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนที่เทรดแล้วอ้อนวอนสิ่งสักสิทธ์ เขาเรียกกันว่า "นักพนัน"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,106.0.html

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปัจจัยที่สำคัญในความสำเร็จเทรดดิ้ง (การศึกษา Forex)

"ชี้เป็นจิตวิทยาที่จริงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเราฉันยังคงเชื่อว่าการซื้อขายที่เป็น 85% จิตใจ 10% การบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์ 5%

          การทำกำไรที่สอดคล้องเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดของผู้ค้ามากที่สุดตลอดกาลจะเผชิญในโลกมันง่ายที่จะทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมและทวนง่ายที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องเมื่อใดก็ตามที่เราทำการตัดสินใจสำคัญในชีวิตของเรามีแนวโน้มที่จะไม่สนใจปัจจัยสำคัญและมุ่งเน้นในสิ่งที่ไม่ได้เรื่องจริงๆโปรดดูราคาข้างต้น ดร. Van Tharp himsaself สรุปได้ว่ากลยุทธ์ของคุณจะไม่รับผิดชอบเพียง 10% ในการค้าของคุณประสบความสำเร็จในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าอื่นที่ดีในเอเชียกล่าวถึง15% แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญไม่ยอมรับว่าการกระจายร้อยละเดียวกันเมื่อมันมาถึงจิตวิทยา, การจัดการเงิน (ตำแหน่งขนาด) และกลยุทธ์, พวกเขาก็กล่าวอ้างความเป็นจริงพื้นฐาน --ปัจจัยที่สำคัญอย่างน้อยในความสำเร็จของการค้าของคุณเป็นระบบการค้าของคุณ (ใด ๆระบบการค้าใด ๆ )

          ฉันจะทำซ้ำอีกครั้งที่จุดประสงค์เพียงเพื่อครอบครองกลยุทธ์การซื้อขายเป็นเพียงการที่จะมีเหตุผลในการซื้อและขายแต่สิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ในตลาดอยู่ห่างสำคัญกว่ากลยุทธ์ผู้ค้าส่วนใหญ่จะคอยมองสำหรับกลยุทธ์ที่พวกเขาคิดว่าสามารถจะดีนักการตลาดให้กับผู้ค้า bombarding กับระบบการค้า; สิ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าในการซื้อขายผู้จำหน่ายมากน้อยเน้นจิตวิทยาการซื้อขายซึ่งเป็นด้านที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จของการซื้อขายสงสัยไม่มีผู้ค้าส่วนใหญ่จะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์เดียวกัน

          อย่ากลัวที่จะแตกต่างเพราะส่วนใหญ่จะไม่ถูกต้องเสมอเรียนรู้ที่จะไม่ปฏิบัติตามเช่นฝูงแกะและเฉียบขาดในเป้าหมายและค้าของคุณถ้าคุณทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้แล้วคุณมักจะได้รับสิ่งที่คนอื่น ๆ ได้รับมากกว่าอะไรจิตวิทยาของเราอย่างมากเรื่องมากในการซื้อขาย

          ตัวอย่างเช่นถ้ากลยุทธ์ที่ดีกับกฏเพียงและทุนเดียวกันจะได้รับแตกต่างกันถึง 10 คน (ไม่พูดถึง 50 หรือ 100 คนที่แตกต่างกัน)เพื่อการค้าที่มีจะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างหลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่งบางคนจะไปแตกบางส่วนจะเสียเงินบางส่วนจะคุ้มและบางส่วนจะสร้างรายได้ในความเป็นจริงจะมีเป็นส่วนของผู้ที่ลงท้ายที่แตกต่างหลากหลายที่มีจำนวนผู้ใช้กลยุทธ์พวกเขาเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์เดียวกันกฎระเบียบและค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่นี้เพื่อเป็นเพราะเหตุใด จิตวิทยาเรื่อง

          ดังนั้นคุณจำเป็นต้องทำงานเกี่ยวกับจิตวิทยาของคุณหนึ่งในวิธีการที่ดีของการทำเช่นนี้คือการอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาการซื้อขายนอกจากฉันได้พบวิธีการนี้เคนยาวของด้านล่างนี้มีประโยชน์มากสำหรับการซื้อขายของฉันเขากล่าวว่า"หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการมืออาชีพที่เป็นความต้องการในการพัฒนาความสามารถในการจัดการของเขาหรือเธอสภาพจิตใจการบำรุงรักษาทางจิตวิทยาที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลวของการซื้อขาย.. สำหรับผม ... (นี้)หมายถึงภาวะทางอารมณ์ที่เป็นกลางไม่สุขไม่เศร้าไม่ทะเยอทะยานเกินไปและไม่กลัว ...เมื่อฉันจากการค้าขณะนี้สถานที่นี้ผลลัพธ์ของการสร้างความสุขความเศร้ามิได้พวกเขาก็เป็นสิ่งที่พวกเขานี้จะช่วยให้ฉันเพื่อป้อนการค้าต่อไปที่มีค่าทางอารมณ์ไม่มีผมพบว่ารัฐนี้อย่างดีที่สุดสิ่งสำคัญที่ลักษณะของฉันของการซื้อขายฉันพยายามที่จะหาจุดความลังเลในการค้าช่องทางหรือในการฝ่าวงล้อม, ที่ราคายังคงทรงตัวระหว่างความกลัวและความโลภ ณ จุดนี้, บูลส์และหมีอยู่ในสมดุลไม่มีเวลาและขาต่อไปของย้ายจะเริ่มต้นเช่นเดียวกับขาสุดท้ายสิ้นสุด. 

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,86.0.html

เรียนรู้ Forex Trading: ตัวเลือกที่แตกต่างกัน

Forex trading, อาจได้ยินผู้คนมากมายของมันอยู่แล้ว, แต่ไม่ใช่ทั้งหมดรู้ว่ามันคืออะไรทั้งหมดเกี่ยวกับ. หนึ่งมักอาจคิดว่า มันเป็นสำหรับ ‘big’ ที่, บิ๊กธุรกิจและองค์กร. แต่นั่นคือไม่ดังนั้น, อันที่จริง, มีบุคคลทั่วไปที่จะเข้าซื้อขาย forex มากมาย.

ต่างประเทศหรือประชาชาติมีสกุลเงินอื่น. แต่สกุลเงินทั้งหมดไม่มีการซื้อขายในตลาด FX. มีสกุลเงินหลักเจ็ดที่ซื้อขายในตลาด. Forex ค้าคือ การซื้อ และขายของสกุลเงินในการจับคู่. นอกจากนี้คุณอาจจะสามารถทำการค้าขาย โดยไม่มีคู่สกุลเงิน. ตัวอย่างการทั่วไปคือ ดอลลาร์สหรัฐ/ญี่ปุ่นเยน. พื้นฐานการค้า forex เป็นสกุลเงินในราคาที่ต่ำกว่าซื้อ และขายที่ราคาสูงขึ้นมาก. แต่บางครั้ง, มีความรู้นี้มีไม่เพียงพอ. Forex เทรดมากสิ่งที่แตกต่างกันที่แต่ละบุคคลทั้งหมดที่ไม่มีความรู้ที่เหมาะสมบนที่เกี่ยวข้องกับ.

ใช้เวลาการค้า Forex วางยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, ดังนั้นแม้เมื่อคุณกำลังหลับ, การค้าขายกันอยู่. FX ตลาดคือ ตลาดทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้งหมดทีเดียว. นั่นคือเหตุผลที่องค์กรมากมาย และแต่ละบุคคลจะดึงดูดการทำการค้าขาย.

ก่อนที่จะ, speculators ขนาดใหญ่, ธนาคารและสกุลเงิน traders ครอบงำตลาด FX, แต่ที่ไม่เป็นจริงวันเหล่านี้. ขณะนี้มีโบรกเกอร์ที่สามารถช่วยบุคคลและบริษัทขนาดเล็ก โดยการแบ่งหน่วยเข้าบัญชีทันที.

ถ้าคุณสนใจ forex trading, คุณสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว, แต่ความพยายามที่เข้าร่วมประชุม forex ชั้นแรก, หรือปฏิบัติเป็นการ apprentice. ตลาด forex เป็นแบบเปลี่ยนแปลงได้, traders ใหม่อาจหาได้ยากเนื่องจากของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ.

ตัวเลือกสองล่าสุดจะดีขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณยังใหม่ในตลาด FX. ด้วยวิธีนี้, คุณจะได้ประโยชน์มากจากการมีผู้สอน well-experienced. คุณจะมีเวลาจริงพบซึ่งคุณสามารถใช้ในภายหลังเมื่อคุณทำการค้าของคุณ.

คุณจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการของ forex ซื้อขายครั้งแรก. โปรดจำไว้ว่า ตลาด FX ไม่มีขอบเขตหรืออุปสรรค. ดังนั้นก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในตลาด, คุณจำเป็นต้องทราบจุดด้านขวา.

Charting และแม็ปยังมีประเด็นที่สำคัญในการค้าขาย forex. ซอฟต์แวร์การทำแผนภูมิจะพร้อมใช้งาน, คุณสามารถป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับมัน; ตลอดจนเรียนรู้วิธีการใช้อย่างถูกต้องแมป. เจอแบบนี้, คุณสามารถดูวิธีย้ายตลาด. และคุณสามารถเดี๋ยวนี้ดีตัดสินใจว่าจะซื้อ หรือขายสกุลเงิน, และหากำไรในกลับ.

อีกสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้เป็นเทรดจิตวิทยา. คุณควรทราบวิธีการจัดการกับการขาดทุนทั้งหมดของคุณอย่างถูกต้อง, แน่นอนคุณไม่คาดหวังให้ได้ตลอดเวลา. ถ้าเป็นระยะสั้น คุณได้ทำการขาดทุนมากมาย, บางทีเวลาหยุดเพียงสำหรับบาง. ไม่ต้องถูกเก็บในการทำการค้าขาย, มิฉะนั้น คุณอาจต้องชำระขาดทุนมากมาย.

Starters ใหม่ใครได้ทันทีได้กำไรมากมายอาจคิดว่า พวกเขารู้มากจนเกินไป. แต่มันช่วยให้คุณทราบว่าไม่เหมือนกันทั้งหมด throughout. กำไรดี oftentimes กระตุ้นคนเพิ่มเติมในการซื้อขายมาก, โดยไม่คิดของความเสี่ยง. วินัยคือ คุณลักษณะหนึ่งที่คุณควรฝึก และเรียนรู้.

Starters, ใครไปถึงเทรดในตนเอง, โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือใด ๆ, อาจไม่ประสบความสำเร็จในทางการค้าแบบนี้, ไม่ยกเว้นที่เขาหรือเธอเป็น ‘นิ '. แม้ว่าพวกเขาอาจสนุกสนานกับยอดกำไร, เวลาจะมาเมื่อไม่ได้ทันกับการค้าขายโดยไม่มีความรู้ซื้อขาย forex และด้านเทคนิคของ.

เป็นการพาณิช, คุณคนเดียวสามารถตัดสินใจเลือกที่จะดีที่สุดสำหรับคุณ. เรียนรู้การซื้อขาย forex ต้องอุทิศตน, ถ้าคุณสามารถดึงมันปิดบนของคุณเอง, ดีสำหรับคุณ. แต่ ถ้าคุณคิดว่า คุณต้องการให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย, คุณมีอิสระที่จะเลือกจากหลายเทรดคลาสที่ได้รับการเสนอ; หรือคุณสามารถเป็นของนายหน้าซื้อขายแบบ apprentice. อย่างไรก็ตาม เลือกของคุณ, คุณสามารถเรียนรู้มากเกี่ยวกับ forex trading. และประสบการณ์การเรียนรู้ของคุณทั้งหมดสามารถเป็นความสำคัญเมื่อคุณทำการค้าที่แท้จริงของคุณ.

ไม่มีไม่มีทดแทนเพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม. ซึ่งให้จุดจับดีเกี่ยวกับการค้าขาย, และคุณสามารถมั่นใจได้ว่า คุณกำลังตัดสินใจที่ดี. สิ่งเหล่านี้จะแสดงให้เห็นถึงมากจากกำไรที่คุณกำลังจะเข้า.

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,54.0.html

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Introduction of Technical Analysis article

Introduction of Technical Analysis
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลักการวิเคราะห์ที่ใช้เหตุและผลผ่านตัวเลขทางคณิตศาสตร์ สถิติ  การวิเคราห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเป็นความน่าจะเป็นหรือทฤษฎีแนวโน้ม ดังนั้นผู้ที่จะเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น ต้องเป็นคนที่ช่างสังเกต และจดจำปรากฎการณ์ต่างๆ จนเป็นรูปแบบซ้ำๆ หรือที่เรียกว่า “Pattern” ซึ่งอาจจะต้องเรียนรู้จิตวิทยาของคน ว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร และคนส่วนน้อยคิดอย่างไร โดยหากสามารถคาดการณ์ว่า กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อตลาดนั้นคิดอย่างไร เราก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกมแห่งการเก็งกำไรได้  นอกจากนี้รูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนหนึ่งอาจจะต้องใช้เครื่องมือคำนวนทางคณิตศาสตร์ที่สามารถแปรข้อมูลในอดีตเพื่อบ่งบอกข้อมูลในอนาคต หรือที่เรียกว่า “Indicator” โดยการคำนวนจากการเปลี่ยนแปลงของราคา และปริมาณในการซื้อขาย ในระยะคาบเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อใช้สูตรคำนวนแล้วจะสามารถบอกได้ถึง ความต้องการของอุปสงค์ และอุปทาน (Demand & Supply) ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  มีมากหรือน้อยเกินไปเท่าใด ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ซื้อมากเกินไป (Over Bought) หรือขายมากเกินไป (Over Sold)  ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจถึงจังหวะหรือช่วงเวลาที่ควรเข้าไปทำการซื้อหรือขายเพื่อทำกำไร หรือหยุดขาดทุน

What’s type of investor who’s can do technical chart
นักลงทุนหลายท่าน อาจจะสับสนกับตัวเองว่าการวิเคราะห์แบบใด น่าจะดีที่สุด บางท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน และบางท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งคำตอบของแต่ละอันก็ล้วนมีเหตุผลที่น่าเชือถือด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ว่าสิ่งใดก็ตามหากสิ่งนั้นมีค่าแล้วแต่ยังไม่มีคนเห็น แต่เมื่อเราซื้อได้ก่อนที่ราคาถูกกว่าหรือในราคาที่เหมาะสม แล้ววันหนึ่งหุ้นหรือสินค้าตัวนั้นจะกลับมาสู่มูลค่าที่แท้จริงเสมอ แต่หลักการนี้ มิได้บอกว่าเมือ่ไหร่ ดังนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะมองเรื่องของความต้องการ ของสินค้านั้นในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อที่จะส่ามารถคาดการณ์ว่า ณ ช่วงเวลาใด ควรที่จะซื้อหรือขายสินค้านั้น เพื่อได้ประโยชน์สูงสุด บนข่วงเวลาที่นักลงทุนนั้นๆ กำหนดไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือระยะยาวนานเพียงใด

ดังนั้นไม่ว่าจะหาคำตอบอย่างไร ก็คงมีเหตุผลที่ดีทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้ต้วท่านต่างหากที่จะเป็นคนหาคำตอบ โดยท่านควรที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ซึ่งหากเปรียบเทียบการลงทุน นั้นเปรียบเสมือนการทำธุรกิจอย่างหนี่งที่ท่านจะต้องลงทุน ท่านจะต้องทำความเข้าใจถึงธุรกิจนั้นๆก่อน ว่าเป็นธุรกิจประเภทใด ซึ่งท่านมีความถนัด ความรู้ ความเข้าใจ ความชอบ และรักธุรกิจนั้นมากน้อยขนาดใด ซึ่งอยู่บนฐานของเงินลงทุน และระยะเวลาที่ท่านต้องการคืนทุน หรือสภาพคล่องในระหว่างดำเนินการ
ซึงหากจะเปรียบเป็นการแบ่งประเภทสินค้าที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้น อาจแบ่งได้ 3ประเภท

1. Fashion Product  สินค้าที่ใช้ตามยุคสมัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือตามแฟชั่น ซึ่งสินค้านี้อาจจะมีความต้องการสูงสามารถซื้อหรือขายได้ง่าย สามารถสร้างกำไร ได้อย่างรวดเร็ว แต่ส่วนต่างทางการทำกำไรอาจไม่มากนัก แต่ข้อเสียคือหากซื้อมา แล้วขายไม่หมดในช่วงเวลาที่ตลาดต้องการ สินค้านั้น มีโอกาสหมดอายุและมูลค่าอาจจะลดลงอย่างรวดเร็ว หรือไม่เหลือมูลค่าหากความต้องการหมดไปดั่งเช่น สินค้าไฮเทค หรือ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า

2. Utility Product สินค้านี้มีความต้องการอยู่ในตลาดอย่างสม่ำเสมอ หรือเปรียบเหมือนสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีการซื้อและขายอยู่ทั่วไป ไม่ค่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านั้นอย่างรุนแรง ซึ่งการซื้อขายสินค้าประเภทนี้ อาจจะมีส่วนต่างๆทางกำไรอยู่ไม่มากนัก แต่มีความผันผวนของราคาต่ำๆ และสามารถซื้อตุนสินค้าต่อคราวได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสินค้าเหล่านี้ คือ ผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน หรือสินค้าทั่วไปที่มีใน Convenience Store

3. Unique Product สินค้าประเภทนี้ผู้ทำการซื้อขาย ต้องมีความเข้าใจในสินค้านั้นเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจ ความรักในสินค้านี้ โดยที่ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าสินค้านี้ จะสามารถขายได้เท่าไหร่ หรือเมื่อใด ซึ่งอาจจะต้องรอจนกว่าจะได้ผลตอบแทนที่พึงพอใจจึงจะยอมขาย  ดังนั้นสินค้าประเภทนี้จึงไม่ค่อยมีการเปลี่ยนมือได้ง่ายนัก แต่จะมีโอกาสขายได้ง่ายเมื่อวันหนึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดหรือจากแฟชั่น หรือเมื่อมีคนเห็นว่าสินค้านั้นดี และมีมูลค่าอย่างมากในอนาคต  ซึ่งผู้ขายสามารถเรียกราคา และได้กำไรจากสินค้าประเภทนี้ในส่วนต่างของกำไรที่มากกว่าสินค้าประเภทอื่น แต่อาจต้องอาศัยระยะเวลา และความรู้ความเข้าใจสินค้านั้นอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนสินค้านี้ คือของสะสม ของหายาก ดังเช่น แสตมป์ รูปภาพ พระเครื่อง หรืออัญมณี

ซึ่งหากแบ่งประเภทธุรกิจให้เห็นดังนี้แล้วเราก็สามารถจัดตัวเองได้ว่าเป็นนักลงทุนประเภทใด และควรมีสินค้าประเภทไหน อยู่ในร้านค้าของตัวเอง โดยจะเห็นว่า

Fashion Product สินค้าแฟชั่น นั้น ผู้ลงทุนจะต้องอาศัยการคาดการณ์ความต้องการของตลาด ติดตามสภาวะความต้องการของตลาดเสมอ สามารถตัดสินใจ ได้เร็ว กล้าเสี่ยง และยอมรับการขาดทุนอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งเปรียบเสมือนการเก็งกำไร จากการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็วจาก Demand and Supply
  
Utility Product ผู้ลงทุนเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยอาจจะต้องติดตามความต้องการของตลาดบ้าง แต่ไม่ต้องใกล้ชิดเหมือนสินค้าแฟชั่น โดยสามารถซื้อขายสินค้านั้นได้คราวละเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสินค้าเหล่านั้นเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว โดยหากเปรียบนักลงทุนประเภทนี้ ก็คือนักลงทุนประเภทกองทุน ที่จำเป็นจะต้องซื้อสินค้า เพื่อไว้ขาย ได้ในคราวที่ละมากๆ โดยคำนึงถืงสภาพคล่อง
  
Unique Product ผู้ลงทุนอาจจะต้องเป็นนักลงทุนที่มีความรักในผลิตภัณฑ์นั้นอย่างแท้จริง โดยสามารถซื้อสะสมได้ตลอด และรู้ถึงมูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) ของสินค้านี้ในอนาคตได้ว่าเป็นเช่นไร ซึ่งเปรียบเสมือนนักลงทุนประเภท Value investor โดยท่านจะมีความสุขเมื่อเห็นมูลค่าของสินค้าที่ท่านมีการเติบโตขึ้น โดยที่แม้ท่านอาจจะไม่ได้คิดอยากขายสินค้านี้ในอนาคตก็ตาม หรือหากขายท่านก็อาจจะยอมขายในราคาที่ท่านพอใจเท่านั้น

เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วคงจะรู้แล้วว่าต้วท่านควรจะเลือกธุรกิจประเภทไหน ซึ่งท่านสามารถแบ่งสัดส่วนของประเภทสินค้า ต่างๆ ไว้ในร้านของท่าน ก็ได้ หรือจะเลือกประเภทใด ประเภทหนึ่งไปเลย เพื่อความถนัด และความพร้อมของแต่ละบุคคล
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,42.0.html

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Mark Douglas ทัศนคติแห่งการเก็งกำไร

Mark Douglas เซียนหุ้นที่เป็นที่ยอมรับกันว่า เขามีความชำนาญ และแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับแง่มุมทางด้านจิตวิทยาการลงทุนเป็นอย่างสูง ในระดับต้นๆของโลก โดยเขาได้เคยเขียนหนังสือหุ้นไว้สองเล่มที่โด่งดังมาก และถือเป็น Must Read! เลยทีเดียวนั่นก็คือ The Discipline Trader และ Trading in The Zone


Douglas เริ่มต้นการเก็งกำไรในตลาด Future ในปี 1978 โดยขณะนั้น เขาทำงานเป็นผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง จนเมื่อมีโบรกเกอร์โทรมาชักชวนให้เขาลงทุน เขาจึงเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเก็งกำไรในทองคำ และหลังจากนั้นมา เขาก็หลงใหลในการเก็งกำไรเป็นอย่างมาก เขาตัดสินใจลาออกจากงานผู้บริหาร และสมัครเข้าทำงานใน Merrill Lynch ด้วยการเป็นโบรกเกอร์แทน!!!!

ภายใน 9 เดือน Douglas ก็หมดตัว!!! เขาสูญเสียเงินสะสมทั้งหมดที่มีไปกับการเก็งกำไร แต่นั่นกลับกลายเป็นพลังให้เขาลุกขึ้นต่อสู้ และก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาเลือก เพราะอย่างน้อยเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ เขาเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วการเก็งกำไรนั้น มันคือการต่อสู้กับจิตใจของเราเอง โดยมุมมอง และทัศนคติของเขานั้น มีส่วนสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดในการเก็งกำไร และนั่นทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิด คือสิ่งที่สำคัญมาก และนั่นทำให้หลังจากนั้น เขาเริ่มเขียนบันทึกประจำวันอย่างละเอียด

"ผมได้เขียนถึงพฤติกรรมการเก็งกำไรของผม สภาวะจิตใจของผม และสภาวะจิตใจที่เกิดขึ้นกับของลูกค้าของผม โดยผมได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับรูปแบบพฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็น ไม่เพียงแต่เฉพาะจากตัวของผม แต่รวมถึงทุกๆคนที่อยู่ในออฟฟิต และจากนักเก็งกำไรในห้องค้า (Floor Trader) ซึ่งผมรู้จักอีกด้วยครับ"

หลังจากเขาเทรดมาได้ 3 ปี เขายังไม่สามารถที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ จนทั้งครอบครัว และเพื่อนฝูงของเขาต่างคิดว่าเขาบ้าที่ตัดสินใจออกมาจากงานบริหารที่ทำอยู่ แทบจะไม่มีใครที่ยอมรับเขาเลย และเขารู้สึกได้ถึงความกลัวที่ยังซ่อนอยู่ในใจ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาหันหลังกลับ เขาใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะทำตามความฝัน ในที่สุดจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาก็มาถึง

"เมื่อผมคิดได้ว่าผมจะต้องทำได้!! (ซึ่งผมจำไม่ได้ว่ามันใช้เวลานานแค่ไหน) และหลังจากที่ผมรู้สึกได้อย่างนั้น ความกลัวของผมก็หายไป ผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมมากกว่าที่เคยเป็น ผมรู้สึกว่าผมยังสามารถคิดได้ ผมยังสุขภาพดีอยู่ ผมมีพรสวรรค์ และเมื่อผมตระหนักถึงคุณค่าในตัวของผมได้ ความกลัวทุกอย่างก็หายไปในทันที ผมเห็นรูปแบบพฤติกรรมที่คอยปิดกั้นความสำเร็จของตัวผม และของนักเก็งกำไรคนอื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบที่จะขัดขวางเราจากความสำเร็จ และมันทำให้ผมเห็นในสิ่งที่นักเก็งกำไรจำเป็นต้องทำเพื่อความสำเร็จของพวกเขา หลังจากนั้นในช่วงหน้าร้อนปี 1982 ผมจึงเริ่มต้นเขียนหนังสือ The Discipline Trader และก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของผมขึ้นครับ"

Douglas อธิบายรูปแบบพฤติกรรมที่คอยขัดขวางนักเก็งกำไรจากความสำเร็จ ว่าความผิดพลาดต่างๆ เช่นการที่คุณมักจะเข้าซื้อเร็วเกินไป ก่อนที่ตลาดจะมีสัญญาณเกิดขึ้น หรือไม่ก็ช้าเกินไป หลังจากที่ตลาดเกิดสัญญาณขึ้นนานแล้ว หรือแม้กระทั่งการขาดทุนมากขึ้นกว่าเดิม จากการที่คุณเลื่อนจุดตัดขาดทุนของคุณออกไป ความผิดพลาดนี้มันเกิดมาจากความกลัวหลักๆ 4 ชนิด ที่นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้นจะคอยจัดการกับมันอยู่เสมอ

ความกลัว 4 ชนิด นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน ความกลัวที่จะพลาดโอกาสไป และสุดท้ายคือความกลัวที่จะปล่อยให้กำไรหลุดลอยไป ซึ่งเขาพบว่า ความกลัวทั้ง 4 ชนิดนี้คือตัวการหลักๆที่ทำให้เราทำในสิ่งที่ผิดในการเก็งกำไรมากกว่า 90% ซึ่งความกลัวดังกล่าวมันถูกบ่มเพาะมาจากวัฒนธรรมและสังคมของพวกเราเอง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครสักคนจะเติบโตมาโดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะต้องกลัวบางสิ่ง

สำหรับนักเก็งกำไรนั้น พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่อาจขาดทุนได้ตลอดเวลา แต่พวกเราไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน เพราะหากเรายอมรับมัน มันจะทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เราต้องสูญเสียบางสิ่งไป พวกเขาจึงพยายามหนีความจริง และจากการที่เราพยายามหนีมัน นั่นทำให้ทุกๆอย่างยิ่งแย่ขึ้นไปอีก

Douglas แนะนำว่า คุณต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณ โดยการเปลี่ยนมุมมองและให้ความหมายกับคำว่าขาดทุนเสียใหม่ว่าการขาดทุนจริงๆแล้วมันหมายความว่าอะไร สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคุณหลายๆอย่างที่เป็นตัวการทำให้คุณตีความหรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดในทางลบหรือด้วยความรู้สึกเจ็บปวด คุณจะต้องสร้างความเชื่อและทัศนคติชุดใหม่ขึ้นมา ที่จะทำให้คุณสามารถตีความหรือแปลความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากตลาดได้อย่างไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือไร้ความกังวลต่างๆ รวมถึงความเชื่อชุดใหม่ที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มความสามารถของคุณ

สิ่งที่แยกนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนชั้นยอดออกจากคนทั่วๆไป นั่นคือนักเก็งกำรชั้นยอดนั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การลงทุนซื้อ-ขาย แต่ละครั้งนั้น ผลลัพธ์ของมันไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการซื้อขายครั้งที่ผ่านๆมาเลย ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม มันก็เหมือนการโยนเหรียญหัวก้อย ผลของการโยนเหรียญครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครั้งที่แล้วหรือครั้งไหนๆ

สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเริ่มต้นเข้ามาเก็งกำไรหรือลงทุนนั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจมาก จริงๆแล้วตลาดนั้นไม่สามารถที่จะบังคับหรือไม่มีผลต่อคุณในการกำหนดมุมมองการรับรู้ หรือแปลความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดของตัวคุณเองเลย แต่มันเกิดขึ้นมาจากกลไกทางจิตวิทยาในตัวคุณซึ่งจะคอยควบคุมการรับรู้และแปลผลของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตัวของคุณเอง และในฐานะที่คุณเป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้เกิดกำไรที่สม่ำเสมอขึ้นมาก็คือ การควบคุมกระบวนการในการรับรู้ และแปลความหมายของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในทางที่คุณจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม และไร้ความวิตกกังวลนั่นเอง

ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ความกลัว” นั่นเอง เนื่องจากจิตใจของเรานั้นถูกออกแบบมาให้หลีกเลี่ยงจากความเจ็บปวด จากกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่ทั้งใต้จิตสำนึกของเราและจิตสำนักของเราเอง และนี่คือตัวการใหญ่ตัวหนึ่งที่พวกเรามักจะมองข้ามมันไป ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าความกลัวนั้น นอกจากจะทำให้จิตใจของเราอ่อนแอลงไป แต่มันทำให้มุมมองหรือวิสัยทัศน์ของเราย่ำแย่ลงไปด้วย ความกลัวนั้นจะทำให้มุมมองของเราแคบลงไปเพราะเรามัวแต่เพ่งอยู่กับสิ่งที่เรากลัว ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เข้ามาในทุกๆช่วงขณะเวลานั่นเอง

ยิ่งในเรื่องของการเก็งกำไรหรือการลงทุนแล้ว มันยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของเราเองขึ้นอีก เนื่องจากจริงๆแล้วตลาดนั้นไม่ได้สร้างข้อมูลที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาด้วยตัวของมันเองเลย สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาคือข้อมูลดิบ ซึ่งสามารถทำให้เรารับรู้มันในแนวทางที่เจ็บปวดขึ้นมาหรือในแนวทางที่พึงพอใจขึ้นมาควบคู่กันไปอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณได้เข้าไปซื้อหุ้นไว้ แต่ภาพของตลาดโดยรวมนั้นกลับกลายเป็นขาลง และโชคร้ายเหลือเกินที่การเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งมันทำให้ผมตัดสินใจถือมันต่อไป เพราะช่วงที่ตลาดเด้งสวนขึ้นมานั้น จะทำให้เกิดความหวังขึ้นมานั่นเอง และจุดนี้เองที่ความกลัวของคุณจะเข้ามามีผลทำให้คุณจดจ่อความสนใจไปที่การเด้งขึ้นมาของตลาดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากคุณได้ให้ความสำคัญกับการเด้งขึ้นมาของตลาดมากกว่าอย่างอื่น และทำให้คุณจะพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อจะบอกกับตัวเองว่าคุณจะไม่เป็นอะไร คุณจะพยายามหาเบาะแสเพื่อให้คุณสบายใจว่ามันจะเด้งขึ้นมาอีก และถึงแม้ว่าตลาดยังจะเคลื่อนที่เป็นขาลงต่อไป คุณก็จะไม่อยากรับรู้มัน คุณจะพยายามมองและรับรู้ว่าการเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งของตลาดเป็นจุดกลับตัวขึ้นของมัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณจะเริ่มยอมรับความจริงเมื่อราคามันตกไปจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว.....

ตลาดหุ้นมันไม่ใช่อะไรอื่น มันเป็นเพียงสิ่งสะท้อนอารมณ์ความโลภและความกลัวของนักลงทุน ซึ่งส่งผลต่อระดับราคา มันไม่มีเหตุผลและไม่ใช่ตรรกะ ในตลาดหุ้น 1+1 อาจไม่ได้เท่ากับ 2 ดังนั้น เลิกหาเหตุผลให้มัน แต่จงเข้าใจในสิ่งที่มันเป็น และเมื่อตลาดคือสิ่งที่สะท้อนอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ เมื่อคุณอยากเข้าใจมัน ชนะมัน และทำเงินจากมัน คุณก็ต้องเข้าใจอารมณ์และจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมันก็คือการเข้าใจจิตใจของตัวเอง ดังนั้นจงพัฒนาการรับรู้ บริหารจิตใจและอารมณ์ของตัวคุณให้ดี แล้วคุณจะพบว่าเคล็ดลับความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่แค่....ภายในใจของคุณเองนี่แหละ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,66.0.html

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น

จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
ทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
   
นายเวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
   
ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
   
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
   
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
   
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
   
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
   
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
   
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณอาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
   
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
   
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี

คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี

ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา

เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "

ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้น โดยวิธีแก้ไขปัญหาเรื่องอารมณ์นั้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,71.0.html