แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แนวโน้ม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แนวโน้ม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

สร้างระบบเทรดตามเทรนง่ายๆด้วย EMA200

 อย่าง ที่เรารู้กันดีว่า คุณสมบัติพื้นฐานที่ควรจะมีอย่างหนึ่งของระบบเทรดที่ดี คือ ใช้ง่าย ดูง่าย ไม่ซับซ้อน ในบทความก่อนหน้าเราได้แนะนำให้ท่านได้รู้จักกับหลักการทำงานและเทคนิคเล็กๆ น้อยๆในการวิเคราะห์กราฟด้วย EMA200 กันไปแล้ว ในบทนี้เราก็มาแนะนำการสร้างระบบเทรดแบบง่ายๆ ด้วย EMA200 กับเครื่องมือพื้นฐานที่มีมากับโปรแกรมเทรดทั่วไป

เทรดด้วย EMA200 กับ MACD
ถ้า พูดถึง MACD คงไม่มีเทรดเดอร์คนไหนที่ไม่รู้จัก MACD เป็นเครื่องมือที่คลาสสิคตลอดกาล เป็นที่นิยมกันมากไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ กลักการทำงานโดยทั่วไปของ MACD สามารถเข้าไปดูได้ที่บทความเรื่อง MACD ในส่วนนี้เราจะใช้เครื่องมือ 2 อย่างคือ EMA200 และ MACD เซทค่าพื้นฐานคือ 12,26,9
รูปแบบการเทรดแบบแรก คือ การเทรดเมื่ออยู่ในเทรนที่ชัดเจน  จากภาพตัวอย่าง EMA200 บอกเราว่าราคาอยู่ในเทรนขาลง แล้วเราใช้สัญญาณจาก MACD เพื่อระบุจุดเข้า- ออก ออเดอร์ของเรา พิจารณาจากภาพตัวอย่างต่อไปนี้


ตาม ตัวอย่างเป็นราคาอยู่ในเทรนขาลง เราจะเข้าเซลอย่างเดียว (เทรดตามเทรน) และจะเข้าเมื่อ Histoream ของ MACD ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับของเส้น MA หรือ เราอาจจะรอให้ Histogram ลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ Zero Line ก็ได้ ซึ่งนั่นจะเป็นการยืนยันว่าลงแน่ๆแล้ว แต่โดยส่วนตัวแล้วจะไม่รอค่ะ จะเข้าตั้งแต่จังหวะแรกตามภาพ และเมื่อมีการยืนยันก็จะเปิดออเดอร์ซ้ำเข้าไปอีกค่ะ แต่เทรดเดอร์บางคนที่เคร่งครัดมากๆ ก็จะรอให้มีการยืนยันก่อนจึงค่อยเข้า และการออกจากออเดอร์ เราจะออกเมื่อ Histogram ของ MACD ปรับระดับขึ้นไปอยู่เหนือเส้น MA เป็นการออกแบบเซฟกำไรค่ะ จะเข้าออเดอร์ใหม่เมื่อมีสัญญาณรอบใหม่ ส่วนในการเทรดเมื่อเป็นเทรนขาขึ้นก็ใช้หลักการเทรดอย่างเดียวกัน ลองพิจารณาภาพตัวอย่างค่ะ


 เมื่อ ราคาเป็น Sideway ราคาจะวิ่งคอลเคลียอยู่กับเส้น EMA 200 ที่แทบจะไม่มีความชันเลย และ Histogram ของ MACD ก็แคบ และน้อยมาก ดังนั้นเราจะรอ ให้ ราคาตัดผ่านเส้น EMA200 อย่างชัดเจน และ Histogram ของ MACD มีขนาดกว้างขึ้น และอยู่สูงกว่าเส้น MA (ในกรณีที่เป็นเทรนขาขึ้นตามภาพตัวอย่าง)


ลักษณะ ของเทรนที่อ่อนแอ นอกจากจะสังเกตได้จากความชันของ EMA200 แล้ว เรายังสามารถดูสัญญาณยืนยันความอ่อนแอของเทรนได้จาก MACD ด้วย ในภาพตัวอย่าง เป็นการยืนยันเทรนที่อ่อนแอด้วยสัญญาณ Divergence ของ MACD เป็นการเตือนให้เราเตรียมตัวออกจากออเดอร์บาย และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนเทรนในเร็วๆนี้


 แต่ นอกจาก Divergence จะเตือนเราว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มแล้ว ในบางครั้งก็อาจจะเป็นแค่สัญญาณการพักตัวของเทรนที่อ่อนแอ ก่อนที่จะมีแรงไปต่อในทิศทางเดิม ดังนั้นเราก็ควรจะมีการวางแผนรับมือที่ดีเพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิด ขึ้นด้วย

การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR
Parabolic SAR เป็นเครื่องมือพื้นฐานอีกตัวหนึ่ง หลักการทำงานโดยทั่วไปคือบอกแนวโน้มและจุดที่จะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้ ด้วยจุดไข่ปลาเล็กๆที่เรียงกัน ถ้าจุดไข่ปลาอยู่ด้านบนจะแสดงถึงแนวโน้มขาลง และถ้าสุดไข่ปลาอยู่ด้านล่างก็แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น จุดไข่ปลานี้จะเรียงต่อกันไปตามโมเมนตัมของราคาเหมือนเป็นแนวรับแนวต้าน ธรรมชาติของราคา ตัวอย่างเช่น ถ้าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น SAR จะเป็นจุดไข่ปลาที่เรียงตัวต่อกันอยู่ใต้แนวแท่งเทียน และเมื่อราคามีการกลับตัวลงมาต่ำกว่าระดับของจุดไข่ปลา จุดไข่ปลาก็จะไปปราหฎอยู่ที่เหนือแท่งเทียนแท่งต่อไปแทน นั่นก็จะเป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มมีการเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลงแล้ว ให้เราออกจากออเดอร์บาย แล้วเข้าเซลแทน


 การเทรดด้วย EMA200 และ Parabolic SAR เราก็จะยึด EMA200 เป็นตัวบอกเทรนหลัก และเข้าออเดอร์ด้วยสัญญาณจาก SAR ดังตัวอย่างตามภาพ


 ใน ตัวอย่างราคาอยู่เหนือ EMA200 เป็นเทรนขาขึ้น เราจึงจะเข้าออเดอร์บายอย่างเดียว การเข้าออเดอร์เราก็ดูสัญญาณ SAR เมื่อเริ่มมีจุดไข่ปลาขึ้นที่ใต้แท่งเทียนเราก็เข้าบาย และออกจากออเดอร์เมื่อมีจุดไข่ปลาของ SAR เกิดขึ้นที่เหนือแท่งเทียน
ระบบ การเทรดง่ายๆ 2 ระบบนี้ เป็นตัวอย่างการสร้างระบบโดยการใช้ EMA200 เป็นมาเป็นตัวบอกแนวโน้มของราคา แล้วใช้เครื่องมืออีกตัวมาช่วยในการบอกจุดเข้า-ออก ซึ่งเราอาจจะไม่ใช้เป็น MACD หรือ Parabolic SAR แต่อาจใช้เป็นเครื่องมืออื่นแทนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล ในการสร้างระบบเทรดของเราเองนั้น ก่อนอื่นต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าตัวคุณต้องการมองหาอะไรจากกราฟ แล้วเครื่องมือไหนที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของคุณได้ หลังจากนั้นจึงทดลองและศึกษาเครื่องมือนั้นๆให้เข้าใจหลักการทำงานของมันจน สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่านี้ระบบเทรดง่ายๆของคุณก็อาจกลายเป็นระบบเทรดที่ทำกำไรได้ไม่แพ้ระบบเท รดเทพๆที่ขายกันในราคาหลักร้อยเหรียญดอลลาร์ได้เหมือนกันค่ะ
หวังว่าบท ความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับใครหลายๆคนที่กำลังค้นหาระบบเท รดของตัวเองอยู่ จำไว้ว่า ระบบเทรดที่ดีไม่จำเป็นต้องเยอะหรือยุ่งยาก ทำให้มันง่ายเข้าไว้ ยิ่งง่ายเท่าไหร่ก็จะช่วยให้การตัดสินใจในการเทรดของคุณง่ายขึ้น ความผิดพลาดที่เกิดก็จะน้อยลง (เพราะไม่ต้องคิดเยอะ)

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,571.0.html

Relative Strength Index (RSI)


 RSI เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา  เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT
และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลง RSI ประกอบไปด้วย
1.เส้น Moving Average
2. เส้นบอกบริเวณ Overbought Oversold (เส้น 30 และเส้น 70)


 Overbought และ Oversold คืออะไร? แล้วใช้ดูกับ RSI อย่างไร?

OVERBOUGHT คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ซื้อ”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวลง
OVERSOLD คือสัญญาณจาก RSI ที่บ่งบอกว่าตลาดขาขึ้นเริ่มมีคน”ขาย”มากเกินไปและอิ่มตัวแล้วซึ่งราคามีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวขึ้น

ผู้ เทรดจะต้องมองเทรนหรือแนวโน้มของราคาให้ออกก่อนว่า ณ ขณะนั้นกราฟกำลังวิ่งเป็นเทรนอะไร เมื่อผู้เทรดสามารถระบุเทรนได้ชัดเจนแล้วก็ให้มองแต่ Over ของกราฟเทรนนั้น ยกตัวอย่างเช่น
หากผู้เทรดเห็นว่ากราฟเป็นเทรนขาขึ้น ผู้เทรดก็ต้องมองแต่ตอนที่เส้น Moving Average ของ RSI เวลากลับมาที่แนว Oversold อย่างเดียวแล้วรอเทียบสวิงของ Oversold กับ สวิง Low
ของราคาอย่างเดียวครับ
ตัวอย่างของการดู Overbought และ Oversold


 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,568.0.html

Ichimoku Kinko Hyo

Ichimoku Kinko Hyo


 Ichimoku ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการดูแนวโน้มของราคาหรือ Trend ตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่นเช่น เมื่อเส้น Tenkan Sen ตัดกับเส้น Kijun Sen

แปลว่าราคาจะเปลี่ยนแนวโน้มซึ่งเหมือนกับการตัดกันของเส้น Moving Average เป็นต้น Ichimoku ประกอบไปด้วยเส้น 5 เส้นคือ
1.Senkou Span A
2.Senkou Span B
3.Tenkan Sen
4.Kijun Sen
5.Chinkou Span
***ระหว่างเส้น Senkou Span A และ Senkou Span B จะมีจุดไข่ปลาที่มีชื่อเรียกว่า Kumo***


 กลุ่มที่ 1: Senkou Span

Senkou Span จะถูก Shift ไปไว้ด้านหน้าของราคาเพื่อคำนวนหาแนวรับแนวต้านให้ราคาโดยคำนวนจาก High Open Low Close ของแท่งเทียน
ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อพยากรณ์อนาคตSenkou Span ประกอบไปด้วย

1.Senkou Span A

2.Senkou Span B

3.Kumo

หาก Senkou Span A อยู่สูงกว่า Senkou Span B หมายความว่าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นหรือกำลังเป็นเทรนขึ้น
หาก Senkou Span B อยู่สูงกว่า Senkou Span Aหมายความว่าราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลงหรือกำลังเป็นเทรนลง

Kumo ทำหน้าที่เป็นเหมือนจุดสมดุลของเทรน ถ้าราคาวิ่งอยู่ใน Kumoแปลว่าราคากำลังสะสมแรง ผู้เทรดจะต้องรอให้ราคาทะลุ Kumo ออกมาก่อนจึงจะสามารถเทรดได้


 กลุ่มที่ 2: Tenkan Sen และ Kijun Sen

การดู Tenkan Sen และ Kijun Sen ใช้หลักการเดียวกันกับ Moving Average Crossover หรือการตัดกันของเส้น Moving Average

ถ้าเส้น Tenkan Sen อยู่เหนือ Kijun Sen แสดงว่าแนวโน้มของราคากำลังเป็นเทรนขึ้น

ถ้าเส้น Kijun Sen อยู่เหนือ Tenkan Sen แสดงว่าแนวโน้มของราคากำลังเป็นเทรนลง

เส้น TenkanSenจะวิ่งเร็วกว่าเส้น KijunSenเสมอ


 กลุ่มที่ 3: Chinkou Span


Chinkou Span เป็นเส้นที่ถูก Shift ไปไว้ด้านหลังของราคาแต่การวิ่งของเส้น Chinkou Span จะเหมือนราคาทุกประการ วิธีการดูเส้น Chinkou Span คือ

ถ้าเส้น Chinkou Span ตัดแท่งเทียนในอดีตขึ้นและยืนอยู่เหนือแท่งเทียนได้ หมายความว่า แนวโน้มของราคาเป็นเทรนขึ้น

ถ้าเส้น Chinkou Span ตัดแท่งเทียนในอดีตลงและยืนอยู่ใต้แท่งเทียนได้ หมายความว่า แนวโน้มของราคาเป็นเทรนลง


 
 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,563.0.html


STOCHASTICS

STOCHASTICS

 STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)       
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่งๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคานั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน
ความสัมพันธ์ระหว่าง ราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลา หนึ่ง


 หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

     เส้น  %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
     เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =          ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)       
                                   ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของราคาแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0%

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของราคา แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้  STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า


    1.%K ตัดกับ %D

    STO จะมีสองเส้นมาให้ใช้งาน ประกอบด้วย เส้น %K เส้นหลัก กับเส้น %D เส้นรอง โดยเราจะยึดดู %K เป็นหลัก

    หาก %K ตัด %D ขึ้นมาได้ จะเป็นสัญญาณซื้อ
    และหาก %K ตัด %D ลงมา จะเป็นสัญญาณขาย



2. Overbought กับ Oversold (สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป และขายมากเกินไป)

                เครื่อง มือชนิดนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 0-100 แต่ในทางเทคนิค เขาจะมีโซนตัวเลขให้พิจารณาอยู่สองโซนด้วยกันครับ  โดยยึดค่า %K เป็นหลักนะครับ 

โซน แรกคือ โซนตัวเลข 0-20% โซนนี้ จัดให้อยู่ในโซน "Oversold หรือสภาวะที่มีการขายหุ้นมากเกินไป"  และโซนที่สองคือโซนตัวเลข 80-100%  จะจัดให้อยู่ใน "สภาวะที่หุ้นมีการซื้อมากเกินไป หรือ Overbought"



3. Bullish Divergence และ Bearish Divergence

สำหรับประเด็นนี้ แนวคิดต่างๆ ก็จะเหมือนกับ MACD และ RSI ครับ

เมื่อใดที่เกิด Divergence ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นนัยว่า หุ้นจะเปลี่ยน Trend ในอนาคตอันใกล้นี้
การเกิด Divergence แต่ละครั้ง มักจะใช้เวลาที่มากพอสมควรในการก่อตัวเป็นรูปร่าง Divergence
และหากเกิด Divergence ในเขต Overbought หรือ Oversold ก็ยิ่งถือว่ามีนัยยะด้วยครับ

หลักการอ่าน  STOCHASTICS
สัญญาณ เตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง



ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,562.0.html

กฎการลงทุนของ Victor Sperandeo

กฎการลงทุนของ Victor Sperandeo
กฎข้อที่ 1 ลงทุนอย่างมีแบบแผน และปฎิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
            ก่อนลงทุน Victor บอกว่าจะต้องรู้เป้าหมายและโอกาสจะไปถึงเป้าหมาย ซึ่งหมายถึงการกำหนดแนวทางในการตัดสินใจ ถ้าเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ และจะต้องรู้ระยะเวลาในการลงทุนของตัวเอง เช่น เราเป็นนักลงทุยระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ความหมายในกฎข้อแรกของ Victor คือก่อนการลงทุนทุกครั้งต้อง "รู้เรา" หรือรู้จัก "ตัวเอง" ก่อน


กฎข้อที่ 2 จงเล่นหุ้นตามแนวโน้มตลาด
             Victor แบ่งแนวโน้มตลาดออกเป็น 3 ช่วง คือ แนวโน้ม ระยะสั้น แนวโน้มระยะปานกลาง และแนวโน้มระยะยาว ในแต่ละแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องรู้ว่ากำลังอยู๋ในแนวโน้มอะไร และอยู่ในช่วงใดของแนวโน้มนั้น ในสังเกตราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามากหรือยัง

กฎข้อที่ 3 ใช้วิธีการตัดขาดทุนเมื่อจำเป็นทุกครั้ง
            Victor  บอกว่าก่อนลงทุนต้องวางแผนว่า เราจะตัดขายขาดทุนในระดับใด เมื่อราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่เราคิด กฎข้อนี้ Victor อธิบายว่า การที่เรายอมขาดทุนเพียงส่วนน้อย ย่อมดีกว่าขาดทุนบานปลายจนเราไม่กล้าตัดสินใต ซึ่งตามหลักการแล้วการตัดขาดทุนไม่ควรให้ราคาหุ้นตกลงไประดับ 10-20 % ของต้นทุน

กฎข้อที่ 4 เมื่อสงสัยในทิศทางตลาด ควรอยู่นอกตลาด
            สิ่งที่ Victor แนะนำถ้าเราอ่านตลาดไม่ออก ถ้าไม่มีหุ้นในมือยังไม่ควรซื้อ ถ้ามีหุ้นอยู่แล้ว ควรทยอยลดพอร์ต เข้าบอกว่าไม่ควรเข้าตลาดช่วงที่ถูกครอบงำโดยอารมณ์ฝูงชน ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของความโลภ และความกลัว

กฎข้อที่ 5 จงรอระยะอย่างอดทน และอย่าลงทุนหุ้นมากตัวเกินไป
            วิธีทำกำไรที่ดี ควรรอจนปัจจัยร้ายๆต่างๆมีความชัดเจนมากที่สุด และไม่ควรซื้อมากตัวเกินไป ทางที่ดีที่สุดควรซื้อหุ้นไม่เกิน 10 ตัว

กฎข้อที่ 6 ทำกำไรช้า แต่ตัดขาดทุนเร็วๆ
          กฎข้อนี้สำคัญมากๆ ในช่วงที่หุ้นกำลังขึ้น Victor บอกว่า ควรปล่อยให้ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆอย่ารีบร้อนขาย แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่าใกล้ชิด ในทางกลับกัน ถ้ารู้ว่าเข้าผิดจังหวะ จะต้องตัดขายออกอย่างรวดเร็ว และให้ถอยออกมาตั้งหลักนอกตลาด

กฎข้อที่ 7 อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน
            กฎข้อนี้เป็นการเตือนว่า "อย่าโลภมากเกินไป " บางคนมีวิธีการคือ ถ้าราคาขึ้นไป 1 ใน 3 ของเป้าหมายกำไรที่ตั้งไว้ก็ตัดขายออกมา 1 ใน 3 ส่วนกำไรเพิ่มขึ้น 1 ส่วน ก็ตัดขายออกมา 1 ส่วน เพื่อให้แน่ใจว่า ทำกำไรได้แน่นอน(สรุปได้กำไร2/3ส่วน หากหุ้นมาถึงเป้าหมาย)

กฎข้อที่ 8 ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และขายเมื่อราคาสูงขึ้น
            Victor เน้นย้ำสำหรับนักเก็งกำไร ถ้ามองแนวโน้มใหญ่ยังเป็นขาขึ้น แต่แนวโน้มระยะสั้นราคาอ่อนตัวให้เข้าซื้อลงทุนระยะสั้นได้ (แต่ถ้าแนวโน้มใหญ่เป็นขาลงด้วย อย่าเข้าไปรับเชียว ตามกฎอย่ารับมีดที่ตกจากท้องฟ้า)

กฎข้อที่ 9 เป็นนักลงทุนในช่วงต้นของตลาดกระทิง และเป็นนักเก็งกำไรในช่วงท้ายตลาดกระทิงและตลาดหมี
            วิธีการลงทุนที่ฉลาด Victor บอกว่า ถ้ามั่นใจว่าตลาดเริ่มพลิกกลับจากหมี มาเป็น กระทิง เราต้องซื้อลงทุน อย่างเล่นเก็งกำไร แต่ถ้าตลาดหุ้นขึ้นมามากแล้ว ซึ่งคาดว่า จะเป็นปลายกระทิง หรืออยู่ในตลาดหมี อย่าเล่นแบบลงทุน ในซื้อขายแบบนักเก็งกำไร(แต่ต้องเตรียมตัดขาดทุนด้วยนะครับ หรือไม่หากเริ่มเจ็บสักครั้ง ก็เลิกมาตั้งหลักดีกว่าครับ)

กฎข้อที่ 10 อย่าใช้วิธีถัวเฉลี่ยการขาดทุน
             การถัวเฉลี่ยอาจหมายถึงการ "ถลำลึก" ลงไปเรื่อยๆและปกปิดข้อบกพร่องของตัวเอง Victor ให้เรายอมตัดขาดทุนและรอกลับมาซื้อราคาถูกจะดีกว่า

กฎข้อที่ 11 อย่าซื้อเพราะเห็นว่าราคาถูก และอย่าขายเพราะคิดว่าราคาสูง
            หลักเลี่ยงความคิดว่า ราคาได้ตกลงมาถึง "จุดต่ำสุด"แล้วหรือคิดว่า ราคาสามารถ"ผ่าน" สุดสูงสุดเดิมไปได้ ความจริงคืออย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวเป็นตัวตัดสิน Victor บอกว่า เพราะมันอาจจะเป็นความคิดที่ผิด

กฎข้อที่ 12 ให้เล่นหุ้นในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูงเท่านั้น
             Victor เชื่อว่า ตลาดช่วงที่มีสภาพคล่องต่ำ เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงแสดงถึงความไม่มั่นใจในสภาวะตลาดจึงไม่คุ้มที่จะ เข้ามาลงทุน

กฎข้อที่ 13 อย่าเข้าตลาดในช่วงที่มีความผันผวนสูง
             ตลาดหุ้นที่ผันผวนสูงมักจะเป็นช่วงปลายของตลาดหุ้นขาขึ้นเป็นช่วงที่นักลง ทุน ขาดการไตร่ตรอง จึ่งเสี่ยงต่อการติดหุ้นสูง

กฎข้อที่ 14 ซื้อหรือขายหุ้นอยู่บนพื้นฐานการตัดสินใจของตนเองเท่านั้น
            กฎของ Victor ข้อนี้ บอกให้เราซื้อขายหุ้นบนพื้นฐานการตัดสินใจของเราเองอย่าเล่นตามข่าวลือ เพราะกว่าข่าวลือจะมาถึงทำให้เราก้าวตามหลังคนอื่นหลายก้าว จึกมักจะตกเป็นเหยื่อในที่สุด

กฎข้อที่ 15 ต้องวิเคราะห์ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ
            เขาเน้นย้ำว่า เมื่อนักลงทุนเกิดความผิดพลาดขึ้น ควรนำมาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นสาเหตของความผิดพลาดนั้น จะได้ไม่ปกปิดความผิดพลาดจนทำให้การลงทุนครั้งต่อๆไปล้มเหลว

กฎข้อที่ 16 ต้องระมัดระวังข่าวลือเรื่องการ Take Over
             ทั้งนี้เพราะข่าวการเทคโอเว่อ จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้น ถ้าจะเข้าลงทุนต้องไวพอ

กฎข้อที่ 17 ตรวจสอบราคาซื้อขายให้ชัดเจนก่อนส่งคำสั่ง ซื้อขาย

กฎข้อที่ 18 จดคำสั่งการซื้อขายทุกครั้ง เป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องเมื่อมีการทำผิดพลาดของโบรกเกอร์

กฎข้อที่ 19 รู้และปฏิบัติตามกฎทั้ง 18 ข้อ ( 15 ข้อก็คงพอนะท่าน Victor )

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,560.0.html

12 วิธีคิด ก่อนลงมือเทรด

12 วิธีคิด ก่อนลงมือเทรด


 1. เรียนรู้พื้นฐาน
ฟัง ดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนมากมักจะกระโดดเข้าไปในสมรภูมิก่อนที่จะรู้ว่าอะไร เป็นอะไร และแน่นอนว่ามักจะเกิดความผิดพลาดและเสียหายขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น อย่างที่เราเห็นกันบ่อยๆว่ามือใหม่ล้างพอร์ตกันบ่อยๆ ล้างแล้ว ล้างอีก แล้วพวกเขาก็เที่ยวค้นหาอะไรซักอย่างที่จะมาช่วยเค้าให้หลุดพ้นจากจุดนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่มือใหม่ควรทำเป็นอันดับแรกก็คือ "เรียนรู้พื้นฐาน" ซะก่อนที่จะโดดลงมาเล่นในตลาดอย่างเต็มตัว

2. คุณจะไม่ได้รวยในทันที ประสบการณ์ทำให้คุณรวย
ถ้า คุณเข้ามาในตลาด Forex เพราะคิดว่ามันจะทำให้คุณรวยได้อย่างรวดเร็ว บอกได้เลยว่าคุณคิดผิดแล้ว คุณจะอยู่ในตลาดได้ไม่นานแล้วก็ต้องออกจากตลาดไป เพราะ "การเทรดคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับประสบการณ์" ก็เหมือนกับมืออาชีพในอาชีพอื่นๆ ที่คุณจะต้องเรียนรู้การทำงานในอาชีพนั้นๆ เมื่อสะสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ งานที่คุณทำก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคุณก็จะกลายเป็นมืออาชีพ  เส้นทางที่จะทำให้คุณเทรดเดอร์มืออาชีพนั้นเป็นเส้นทางที่ยาวไกล ต้องจริงจังและอยู่กับมันให้ได้อย่างน้อย 1-3 ปี ก่อนที่จะทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จำไว้ว่าการเทรด Forex เป็นอาชีพ ดังนั้นถ้าเทรดเดอร์มือใหม่อยากจะทำกำไรให้ได้เหมือนเทรดเดอร์เก๋าๆที่เทรด มานานๆ ก็จงเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อวันนึงข้างหน้าคุณจะทำได้เหมือนมืออาชีพที่คุณเห็นในวันนี้

3. ผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องตลก
การ รับฟังความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน แต่ปัญหาที่มีในตลาดเงินก็คือ มีเทรดเดอร์มือใหม่ที่สามรถทำไรได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และคิดว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และมากกว่านั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่อายุ 30-60 ปี แต่งตัวภูมิฐานในชุดสูท ที่อ้างว่าเป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ และเรียกร้องให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้มักเป็นคนที่ล้มเหลวจากการทำรายได้จากตลาด และหันมาสร้างรายได้จากการสอนเทรดเดอร์คนอื่นๆด้วยวิธีที่ล้มเหลว ผู้เชี่ยวชาญที่ประกาศตัวเอง มีแนวโน้มที่จะ:

    ให้ข้อมูลเก่าที่ไม่สามารถใช้การได้พวกเขาจะเป็นเทรดเดอร์อาชีพที่เทรดอย่างเดียว และพยายามขายหนังสือให้คุณ
    เรียกร้องในราคาที่แพงแสนแพง และสิ่งที่ได้มาบางทีก็ใช้การอะไรไม่ได้
    พยายามที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้โดยการโพสต์ภาพของบัญชี ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
    เป็นคนที่เก่งคำนวณ เพื่อให้ตัวเป็นคนที่ประสบความสำเร็จและน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น เทรดได้กำไรสองครั้ง แต่ ขาดทุนแค่ครั้งเดียว

ดัง นั้นควรต้องระวังเหล่าผู้เชียวชาญที่ไม่เชี่ยวชาญไม่จริงเหล่านี้ไว้ด้วย สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ควรเช็คให้แน่ใจว่าอันไหนของจริงหรือ ของปลอม อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ

4. วิเคราะห์ด้วยตัวเอง
การ เชื่อคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้คุณเป็นคนตาบอด อย่าลืมว่าเป้าหมายของคุณคือการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การเทรดตามซิกที่คนอื่นๆให้มา
การที่จะเป็นเทรดเดอร์ได้นั้น คุณต้องเลือกวีการเทรดเพื่อที่จะทำกำไรและเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์ตลาดด้วย ตัวเอง ความสามารถในการวิเคราะห์ของคุณจะทำให้คุณกลายเป็นเทรดเดอร์มือโปร การวิเคราะห์ด้วยตัวเองจะช่วยให้คุณ:

    เป็นคนที่พึ่งพาตัวเอง
    เรียนรู้ในการเทรดอย่างจริงจัง

ถ้า คุณเลือกที่จะหลับหูหลับตาเทรดตามกูรู แล้วคุณจะทำกำไรได้อย่างไรเมื่อกูรูหยุดแจกเคล็ดลับ หรือเคล็ดลับนั้นไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป คุณจะเข้าใจได้อย่างไรว่าทำไมเคล็ดลับมันทำงานในตอนแรก แต่ตอนนี้มันกลับใช้การไม่ได้แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณน่าจะเป็น "การพึ่งพาตนเอง"

5. จ้าวตำนานเดโม่
ถ้า คุณอยากจะเป็นนักมวยมืออาชีพแล้วคุณไปซื้อเกมส์ต่อยมวยมาเล่น แล้วเริ่มการฝึกต่อยมวยด้วยวีดีโอเกมส์ แล้วมันจะช่วยให้ต่อยมวยเป็นได้ยังไง ? ก็เหมือนกับการเทรดด้วยบัญชีเดโม่ ที่ทำให้คุณหวังว่าจะเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
การเทรดด้วยบัญชีเดโม่เป็นเวลา 3 เดือนแล้วไม่ประสบความสำเร็จเมื่อมาเทรดปัญจริงก็เพราะ 2 เหตุผล คือ

    ทำให้มือใหม่มีความมั่นใจแบบผิดๆ และทำให้ซึบซับนิสัยที่ไม่ดี เพราะในการเทรดบัญชีเดโม่และบัญชีจริงจะมีความกดดันที่แตกต่างกัน การเทรดบัญชีเงินจริงจะมีความกดดันมากกว่าหลายเท่า ในขณะที่การเทรดบัญชีเดโม่แทบจะไม่มีความกดดันเลย ก็แน่นอนละเพราะถึงเสีย เราก็ไม่ได้เสียเงินจริง เราๆท่านๆคงเคยได้ยินคำพูดนี้อยู่บ่อยครั้ง "หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม"
    ประสิทธิภาพของบัญชีเดโม่ มักจะดีกว่าบัญชีจริง ซึ่งรวมถึงความรวดเร็วในการเปิดปิดออเดอร์ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่าง

ทางออก ที่ดีที่สุดคือการใช้บัญชีเดโม่ในการเรียนรู้พื้นฐานและการทดสอบระบบหรือหา วิธีการซื้อขาย และเมื่อต้องซื้อขายจริงคุณควรจะเทรดด้วยบัญชีเงินจริง วันนี้คุณสามารถเปิดบัญชีซื้อขายกับโบรคเกอร์ต่างๆได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มต้นเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ $10-$50  ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เปิดบัญชีซื้อขายจริง

6. กำจัดแนวโน้มความสูญเสียแต่เนิ่นๆ
สิ่ง สี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเขาเหล่านั้นไม่ยึดกฎข้อนี้อย่างเคร่งครัดพวกเขาอาจมาไม่ถึงจุดนี้
ถ้า คุณเกิดเทรดเสียติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ควรจะหนีห่างออกจากราฟ แล้วใช้เวลาอยู่ห่างกราฟซัก 2-3 วัน และกลับมาเทรดใหม่เมื่อหัวของคุณโล่งและพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดใหม่อีก ครั้ง เพราะแนวโน้มของความสูญเสียนั้นอันตรายมาก การเริ่มต้นด้วยการเทรดเสียเล็กๆน้อยๆ สามรถนำไปสู่ความสูญเสียที่ใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า


7. ทำตามคนส่วนใหญ่
เรา มักจะได้ยินกันบ่อยๆว่า 90% ของเทรดเดอร์มือใหม่นั้นต้องล้มเหลวและเดินออกจากตลาดไป และสิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองด้วยการศึกษาระบบการเทรด หรือศึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่จะใช้ในการเทรดให้มากพอ ทำความเข้าใจหลักการทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และไม่เป็นผู้ตาม 
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ก็ลองคิดถึงเหตุผลดังต่อไปนี้:

    ส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์มือใหม่มักจะล้มเหลว
    ถ้าคุณทำตามคนส่วนใหญ่ คุณก็จะล้มเหลวเหมือนคนส่วนใหญ่
    ถ้าคุณเป็นคนส่วนใหญ่ คุณก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวเหมือนพวกเขา

ดังนั้นแล้ว คุณไม่ควรที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ทีล้มเหลวเหล่านั้น

8. ทำตามวิธีการของคุณ
วิธี การหรือระบบเทรดทุกแบบจะมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ไม่มีวิธีการใด ระบบใด หรือรูปแบบใดที่จะสามารถทำกำไรได้ 100% ตลอดทั้งปี เช่น ปีนี้มีอัตราความสำเร็จทำกำไรได้เฉลี่ยที่ 80% แต่บางช่วงของปีก็ทำได้แค่เพียง 60% และบางช่วงก็ทำได้ถึง 100%
ในแต่ละ ปีจะมีช่วงที่ดีที่ทำกำไรได้ง่าย และช่วงที่ไม่ดีที่ทำให้คุณเทรดเสียได้ง่ายกว่าปรกติปะปนกันเป็นเรื่องปรกติ ที่สำคัญคือ เมื่อคุณเจอช่วงเวลาที่เลวร้าย จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบเทรดของคุณ ปัญหาของมือใหม่ก็คือ จะละทิ้งระบบและวิธีการเทรดของตน แล้วไปแสวงหาระบบการทำกำไรใหม่ๆไปเรื่อยๆ

9. ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่ายซะ
มัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำให้การเทรดเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่นบางคน อาจจะใช้เวลาเพียง 2-5 ชั่วโมงในการเทรดในแต่ละสัปดาห์ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปสนุกกับการใช้ชีวิต ดังนั้นวิธีการเทรดของคุณก็ไม่มีความจำเป็นว่าจะต้องซับซ้อน เพราะมันก็ไม่ได้การันตัว่ายิ่งยุ่งยากแล้วจะทำให้ได้กำไรมากขึ้นซะหน่อย จริงมั้ย? และการทำให้การเทรดง่ายขึ้นนั้น จะช่วยให้ซ

    การเทรดนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    คุณทำงานน้อยลง
    ทำให้คุณเรียนรู้ได้เร็วขึ้น(เพราะคุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ศึกษาเพิ่มเติม)


10. เทรดแค่คู่เงินเดียว
กุญแจ สำคัญที่จะเปลี่ยนมือใหม่ให้เป็นมือโปรคือ ทำให้การเทรดเป็นเรื่องง่าย และวิธีที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเทรดคู่เงินเพียงคู่เดียวในช่วงเวลา นั้นๆ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่คู่เงินเพียงคู่เดียว คุณจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมราคาของคู่เงินนั้นและเข้าใจความเคลื่อนไหวของมัน ได้ ถ้าคุณเทรด 5 คู่ในเวลาเดียวกันมันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากในการศึกษาพฤติกรรมราคาของ แต่ละคู่เงิน เพราะแต่ละคู่จะมีพฤติกรรมราคาที่แตกต่างกันไป เพราะว่า:

    มีปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน
    มีอัตราการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน บ้างก็ช้า บ้างก็เร็ว
    มีการเคลื่อนไหวมากๆต่างกันตามช่วงเวลาต่างๆของวัน เช่นบางคู่จะเคลื่อไหวมากในช่วงตลาดสหรัฐ แต่บางคู่จะเคลื่อนไหวมากในช่วงทำการของตลาดเอเชีย
    ต้องมีการจัดการที่แตกต่างกันเวลาที่ถือออเดอร์ บางคู่จะวิ่งเป็นเทรนยาวๆ สามารถถือได้นาน แต่บางคู่จะผันผวนมากจะถือยาวไม่ได้

ดัง นั้น มือใหม่ไม่ควรที่จะเล่นทีเดียวกลายคู่ เพราะจะเพิ่มความเครียดให้มากเกินไป ควรเล่นทีละคู่ ค่อยๆศึกษาไปทีละคู่ เมื่อคุณรู้แล้วว่าคู่ไหนเป็นอย่างไรจึงค่อยเพิ่มคู่เทรดมากขึ้นเท่าที่คุณ คิดว่าจะมารถจัดการกับมันได้

11. เทรดในทามเฟรมเดียว
เพราะการเทรดในทามเฟรมเดียวเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดของคุณง่ายขึ้น การเทรดในทามเฟรมเดียวมีประโยชน์หลายอย่าง :

     ช่วยให้คุณมีสมาธิในการเทรดในกรอบเวลานั้นๆ และลดความสับสนในการเทรดพร้อมกันในหลายทามเฟรมได้
     คุณดูกราฟน้อยลง เพราะจะดูแค่ทามเฟรมเดียว จึงช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวิเคราะห์กราฟ สามารถหาสัญญาณที่ชัดเจนได้
     ไม่ต้องวิเคราะห์กราฟมากเกินไปในหลายทามเฟรม ซึ่งอาจจะให้สัญญาณที่ขัดแย้งกัน แล้วคุณก็จะสับสนกับสัญญาณเหล่านั้นได้
     มันทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น

จำ ให้ขึ้นใจว่า สิ่งเหล่านี้คือการทำทุกอย่างให้มันง่ายขึ้นในการเทรด หากคุณเทรดคู่เดียวในทามเฟรมเดียว ก็เท่ากับคุณต้องดูกราฟเดียว มือใหม่ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ซับซ้อนยุ่งยาก จนกว่าคุณจะกลายเป็นมือโปรและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

12. กราฟที่สะอาดตา
ส่วน มากมือใหม่อยากจะใช้ Indicators ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอามาใส่จนเต็มกราฟไปหมด เพราะคิดว่ามันจะช่วยบอกได้ถึงจุดเข้าออกที่แม่นยำ ซึ่งมันไม่จริง เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น Indicators ในกราฟของพวกเขาจะลดลงไปเรื่อยๆ เพราะ Indicators ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้สัญญาณที่สับสนมากขึ้นเท่านั้น:

    เพิ่มความยุ่งเหยิงให้กราฟ ยากที่จะอ่านสัญญาณได้
    ทำให้เกิดความสับสนในการตัดสินใจ
    เพิ่มแนวโน้มว่าจะมีสัญญาณที่ขัดแย้งกันมากขึ้น
    กราฟดูรก สกปรก เกินไป


เรา จะเห็นได้ว่ามือโปรส่วนใหญ่จะเทรดด้วยกราฟที่สะอาด แม้ว่าจะมี Indicators บ้างแต่ก็ไม่มาก อาจจะแค่เส้น Moving Average ดูสัญญาณแท่งเทียน แนวรับแนวต้าน เพียงแค่ เรื่องพื้นฐานแค่นั้นเค้าก็ทำกำไรกันได้แล้ว แล้วคุณล่ะ ก่อนที่จะโดดลงมาในตลาดเต็มตัว เรียนรู้พื้นฐานกันหรือยัง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,558.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทที่ 6 เครื่องมือวัดพลังคลื่น

มีของอยู่ในมือแล้ว พวกเรามักมีปัญหาในการปล่อย หรือติดดอย เพราะไม่มีการเช็คสุขภาพ หรือพลังของคลื่น ว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน สมควรจะเสี่ยงถือต่อไป หรือโยนให้คนอื่นถือต่อดี วันนี้มารู้จักกับเครื่องมือวัดพลังคลื่นทั้ง 3 ตัวที่ผมใช้ประจำครับ

Stochastic Oscillator เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

Stochastic Oscillator เป็น ตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางเร็วกว่าเพื่อน แต่ก็นั่นแหละครับ หลอกเก่งกว่าเพื่อนเหมือนกัน เหมาะกับการให้ทิศทางระยะสั้นหรือตลาด sideway มากกว่า

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น ที่ผมให้น้ำหนักค่อนข้างมาก ผมใช้ยอดคลื่นของมันชี้ตำแหน่งคลื่น 3 และคลื่น b

MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นเครื่องมืออีกชิ้นที่ช่วยในการตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้มของคลื่นได้ดีครับ

การใช้งานเครื่องมือทั้ง 3 ชนิด
อ่าน ตำราแล้วเหมือนจะใช้ต่างกัน แต่ผมมักจะมองภาพรวมทั้ง 3 ตัวด้วยกัน รวมถึงการนับขาตามทฤษฎีอีเลียตเวฟ เพื่อช่วยตัดสินใจเรื่องการเปลี่ยนแนวโน้ม หากใครอ่านตำรา ก็มักจะพุ่งเป้าไปที่สัญญาณ overbought/oversold เป็นหลัก แต่จริงๆแล้ว เรายังดูหลายอย่างที่ละเอียดลงไปได้อีก

สิ่งที่เราต้องมองหาในเครื่องมือโดยรวม
- Divergence/Convergence ตรงนี้อธิบายง่ายๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างราคากับสัญญาณในเครื่องมือ มันต้องไปทางเดียวกัน เท่านั้นแหละ หากราคาขึ้นทำ high ใหม่ แล้วสัญญาณขึ้นตาม ก็ดีไป แต่หากไม่ตาม เราเรียกว่า เกิด divergence คือสัญญาณมันไม่เอาด้วย แบบนี้ ก็เตรียมถอยครับ ทางกลับกัน หากราคาลงทำ low ใหม่ และสัญญาณตามลงไป เราก็รอต่อไป แต่เมื่อไหร่ที่สัญญาณไม่ลงด้วย เราเรียกว่าเกิด convergence คือสัญญาณไม่เอาด้วย แต่เป็นเชิงบวกแทน แบบนี้ เตรียมกระโจนเข้าได้
- แนวต้านจากการลาก trend line เมื่อเกิดยอดคลื่น 2 ยอด เราสามารถลากเส้น trendline ให้เส้นสัญญาณได้ เช่นเดียวกับกราฟราคาครับ และหากสัญญาณขึ้นมาชน trendline ที่เราตีไว้ ก็มีแนวโน้มว่า จะติดเส้นนี้ได้ ทางกลับกัน หากหลุดเส้น trendline นี้ไปได้ ก็อาจพุ่งไปต่อได้เลยเช่นกันครับ
หากมองไม่เห็น สมมุติว่า เราดูใน chart รายวัน เราอาจขยับมาดูราย 4 ชั่วโมง หรือต่ำลงมาเป็นรายชั่วโมง เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการดู

สัญญาณในกราฟ รายชั่วโมง ราย 4 ชั่วโมง รายวัน อันไหนสำคัญกว่ากัน?
บาง ครั้ง สัญญาณระดับต่างๆมันขัดแย้งกัน มือใหม่จะงง และตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี ผมอธิบายง่ายๆว่า รายวันก็เหมือนเราดูคลื่นหลัก ส่วนราย 4 ชั่วโมง หรือ รายชั่วโมง เราก็เท่ากับกำลังมองคลื่นย่อยในคลื่นหลัก คลื่นหลัก สัญญาณอาจบอกว่า กำลัง bull มาก อยู่ในคลื่น 3 แต่รายชั่วโมง สัญญาณอาจเป็น bear เพราะกำลังปรับฐานอยู่ในคลื่น 2 ย่อยของ 3 ก็เป็นได้

การใช้ MACD ดูการเปลี่ยนแนวโน้ม
MACD ถูกยกย่องให้เป็นราชาของเครื่องมือวัด เพราะมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง วิธีการดู MACD ก็ดูว่า
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่เหนือแถบ MACD จะ bearish หรือกลับเป็นขาลง
- เมื่อไหร่ที่ เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) อยู่ใต้แถบ MACD จะ bullish หรือกลับเป็นขาขึ้น
นอก จากนั้น ก็เป็นการมองหา divergence/convergence และ การใช้ trendline วัดความสูงเพื่อหาแนวต้านแนวรับแล้ว อย่างที่บอกไป แต่ยังมีอีกจุดที่น่าสนใจมาก คือมันสามารถบอกพลังงานสะสมได้ครับ เมื่อใดที่เส้นสัญญาณ (เส้นสีแดง) กับ MACD ตีคู่กันใกล้ๆไปสักระยะ จะเกิดพลังงานสะสม และมักมีไม้เขียว หรือไม้แดงยาวๆตามมาให้เห็นบ่อยๆครับ ลองไปสังเกตดู MACD ที่เกิดขึ้นมาในอดีตดูครับ ให้สัญญาณก่อนเกิดไม้เขียวไม้แดงยาวๆตามมา ชนิดทำกำไรได้สบาย

ถึงบท นี้ ความฮึกเหิมคงเริ่มเกิดในตัวแล้วใช่มั๊ยละครับ แต่อยากจะบอกว่า พอไปดูคลื่นจริงๆ อาจจะยังคงเมากันอยู่ครับ คงต้องอาศัยประสบการณ์ที่ต้องค่อยๆสะสมแล้ว อันนี้ สอนกันยาก ได้แต่บอกว่า ค่อยๆดูไปครับ ทุกวันนี้ ผมก็ยังสะสมอยู่เหมือนกัน
บทต่อไป คงเป็นเรื่องของ เครื่องมือปลีกย่อย อย่าง Moving Average, Trendline, ฯลฯ แต่ผมว่า ศึกษาเองก็ไม่น่ายากแล้วนา

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,476.0.html

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

นักค้าต้องมีกฏเกณฑ์ในการปฏิบัติที่ แน่นอนและต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด กฏเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากประสบการณ์ 45 ปี ในตลาดหุ้นของ นายวิลเลี่ยม ดี แก้น ซึ่งเป็นที่เชื่อว่า หากใครสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

1. จำนวนเงินลงทุน ต้องพอดีและจงแบ่งเงินลงทุนเป็นสิบส่วน เท่าๆกัน ในการซื้อขายแต่ละครั้ง อย่าลงทุนซื้อหรือขาย เกินหนึ่งในสิบของเงินลงทุน
2. ใช้คำสั่ง STOP ORDER ควรป้องกันการลงทุนโดยการตั้ง STOP ORDER 3-5 ช่วงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ หรือ สูงกว่าราคาที่ขาย
3. อย่าซื้อหรือขายเกินตัว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนในข้อ 1
4. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน หลังจากที่ท่านมีกำไร 3 ช่วงหรือมากกว่านั้น จงยกระดับ STOP ORDER ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ขาดทุน
5. อย่าเริ่มก่อนแนวโน้ม ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ:ตามแผนภูมิของท่าน
6. เมื่อสงสัย ให้ออกจากตลาดและอย่าเข้าตลาดถ้ายังสงสัย
7. ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขายมาก อย่ายุ่งกับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวช้าหรือแน่นิ่ง
8. จงกระจายความเสี่ยง ซื้อขายหุ้นอย่างน้อย 4 ถึง 5 บริษัท ถ้าเป็นไปได้อย่างลงทุนจนหมดตัวในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
9. จงอย่าใช้ราคาเฉพาะ ทั้งการซื้อและการขาย จงใช้ราคาตลาด
10. อย่าขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีเหตุผลที่ดี จงใช้ STOP ORDER เพื่อป้องกันกำไรหดหาย
11. จงสะสมกำไร หลังจากที่ท่านประสบความสำเร็จและมีกำไรติดต่อกันหลายๆ ครั้ง จงสำรองกำไรส่วนนี้ไว้ต่างหากเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือตอนที่มีการตื่น ตระหนก
12. อย่าซื้อ เพียงแต่เพื่อจะเอาเงินปันผล
13. อย่าเฉลี่ยการขาดทุน เพราะนี่เป็นความผิดที่เลวร้ายที่สุดที่นักค้าหุ้นไม่ควรทำ
14. อย่าออกจากตลาด เพียงเพราะว่าท่านหมดความอดทนหรือเข้าตลาด เพียงเพราะว่าท่านไม่อยากรอ
15. จงหลีกเลี่ยง การขายเพื่อเอากำไรแต่น้อยและอย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก
16. จงอย่ายกเลิกคำสั่ง STOP ORDER ที่ท่านสั่งตอนที่ท่านซื้อขายหุ้นนั้น
17. จงหลีกเลี่ยง การเข้าและออกจากตลาดบ่อยเกินไป
18. จงพร้อมที่จะขาย เช่นเดียวกับซื้อและยึดวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้แน่วแน่
19. จงอย่าซื้อ เพียงเพราะราคาต่ำและอย่าขายเพียงเพราะคิดว่าราคาสูง
20. จงระวังการพีระมิดในจังหวะที่ผิด จงรอจนกระทั่งเริ่มมีการซื้อขายมากและระดับราคาได้วิ่งขึ้นผ่านระดับต้านทาน ก่อนที่จะซื้อเพิ่ม และรอจนกระทั่งราคาได้วิ่งตกต่ำกว่าระดับจำหน่ายจ่ายแจกก่อนที่จะซื้อเพิ่ม ขึ้น
21. เมื่อซื้อ จงสะสมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนน้อย และ ถ้ายืมหุ้นคนอื่นมาขาย จงยืมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมาก
22. อย่าป้องกันการขาดทุน ในหุ้นที่ซื้อมาโดยการยืมหุ้นจากคนอื่นมาขายไปก่อน จงขายหุ้นที่ซื้อมาไปในราคาตลาดและยอมรับการขาดทุนเพื่อคอยโอกาสครั้งต่อไป
23. อย่าเปลี่ยนสถานภาพการลงทุน (POSITION) ในตลาดโดยไม่มีเหตุผลที่ดี เมื่อท่านตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นแล้ว จงให้โอกาสตัวเองตามเหตุผลที่ดีบางประการหรือตามแผนที่กำหนดไว้ อย่าขายหรือซื้อจนกว่าจะมีสัญญาณบอกว่าแนวโน้มได้เปลี่ยนทิศทาง
24. จงหลีกเลี่ยงการเพิ่มพอร์ท หลังจากที่ประสบความสำเร็จและมีกำไรมาเป็นเวลานาน

เมื่อ ท่านตัดสินใจที่จะซื้อขายหุ้น ท่านต้องแน่ใจว่าท่านไม่ได้ฝ่าฝืนกฏข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ซึ่งเป็นกฏที่จำเป็นต่อความสำเร็จของท่าน หากท่านขายหุ้นไปโดยมีการขาดทุน จงทบทวนกฏข้างต้นใหม่และพิจารณาดูว่าท่านได้ทำผิดกฏข้อใด แล้วอย่าทำผิดเป็นครั้งที่ 2 ประสบการณ์และการพิจารณาอย่างรอบคอบจะทำให้ท่านเชื่อคุณค่าของกฏเหล่านี้ การสังเกตและการศึกษาจะนำท่านสู่วิธีการที่ถูกต้องเพื่อ ความสำเร็จและกำไรในตลาดหุ้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,123.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Forex กับกฎหมายไทย

Forex กับกฎหมายไทย

Forex กับ กฎหมายไทยหลาย ท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่า Forex ในต่างประเทศมีมานานแล้ว และถูกกฎหมาย(ของต่างประเทศ) ซึ่งตลาดตรงนี้ใหญ่มาก และถือเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนที่แท้จริง (ระดับสูงกว่าการเล่นหุ้น) แต่ทำไมไม่ทราบ ประเทศไทยกลับกลายเป็นว่าการลงทุนในด้าน Forex ผิดกฎหมาย ?? ถือมีความจำเป็นยิ่งในประเทศไทย มีผู้ที่ให้บริการและที่ใช้บริการได้แบบไม่ผิดกฎหมายอยู่ ก็คือ พวกสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆ นั่นเอง ทำไมถึงจำกัดวงแคบ แค่นี้ ? ทั้งๆ ที่หากคุณศึกษาดูจะเห็นว่า ธนาคารต่างๆ ได้กำไรจาก Forex มากมายจริงๆ แต่ไม่อนุญาตให้บุคคลธรรมดา ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ? นายแบงก์ระดับสูงบางคน Trade Forex เพื่อธนาคารของตนเองอย่างถูกกฎหมาย แม้กระทั่งผู้ว่าการธนาคารบางคน ยังเป็นประธานชมรม Forex แห่งประเทศไทยได้เลย (อย่างถูกต้องตามกฎหมาย) แต่ใครจะรู้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจจะมีผลประโยชน์ทางอ้อม หรือ ทางตรง เค้าได้ Trade เองด้วยหรือไม่? Forex อนุญาตให้แค่คนกลุ่มเล็กๆ ในไทยเท่านั้นที่ทำได้!
จริงๆ แล้วทำเสียอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ได้มีพวกกลุ่มแชร์ลูกโซ่ ทำการเปิดบริษัท Forex บังหน้า แต่ว่าทางการเงินจริงๆ แล้ว ไม่ได้ Trade จริงๆ แต่หลอกให้ คนโอนเงินมาไว้กับตนเยอะๆ เอาเงินคนเสียมาจ่ายคนได้ ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีคนได้น้อยกว่าคนเสีย ทำให้บริษัทอยู่ได้ แต่พอนานๆ เข้า คนได้มีมากกว่าหรือ อาจจะเพราะบริษัทต้องการปิดหนีเลยไม่จ่าย ตรงนี้ไม่ทราบ!แต่ที่แน่ๆ คนเดือดร้อน คือประชาชนที่ลงเงินลงทุนไปแล้ว ไม่สามารถตามเงินคืนได้

ความเสียหายนี้เกิดเป็นวง กว้างหลายพันล้านบาท จึงทำให้รัฐต้องออกกฎหมายเพื่อระงับแชร์ลูกโซ่ประเภทนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้Forex บังหน้า ผลก็คือ ตั้งแต่นั้นมา Forex เลยถูกห้าม เพราะจะคิดว่าเป็นการหลอกลวงมาตลอด จนถึงปัจจุบัน (ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ แต่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือของแชร์ลูกโซ่เฉยๆ) ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็เลยห้ามมาตลอด ผมกลับคิดว่า ตอนมีแชร์ข้าวสาร ทำไมไม่ห้ามซื้อขายข้าวสารล่ะ ?? จะได้เข้าใจว่าForex ไม่ได้ผิดอะไร การไม่เปิดให้บริการทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่มีความหลากหลายอีกด้วยซ้ำ

ซ้ำ ร้าย นับแต่นั้นเรื่อยมา กลุ่มปราบปรามการเงินนอกระบบ จึงตั้งหน้าตั้งตาม ปิดบริษัท ในเมืองไทยมาตลอด โดยจะห้ามเด็ดขาดและหากจับได้ก็จะใช้ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 เป็นบทลงโทษ (ดูซิครับ!ขนาดกฎหมายที่ห้าม ยังดูไม่ค่อยออกเลยว่ามันผิดที่ Forex หรือคนที่นำไปเป็นเครื่องมือ) จนปัจจุบันเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตดีขึ้น คนที่หาข้อมูลหา ธุรกิจ จะทราบดีแล้วว่า Forexเป็นเรื่องทั่วไป เป็นปกติของตลาดโลก (แต่ลองถาม ชาวบ้านทั่วๆ ไป เค้าจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งหลอกลวงแทน) ตอนนี้ใครจะเล่นก็ได้ครับ เพราะเล่นกับผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมาย(ของต่างประเทศ) แทนแล้ว ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็คือ คุณเล่นการพนันผิดกฎหมายในไทย แต่ถ้าคุณไปเล่นลาสเวกัสมันก็ไม่ผิดอะไร แน่นอนปัจจุบันรัฐก็พยายามเต็มที่อย่างไม่ลืมหูลืมตาจับคนให้บริการ Forex หรือ คนเล่นมาลงโทษไม่ได้ ผมเลยอยากจะเตือนใจคนเล่น Forex จุดนี้ไว้

คุณ รู้ไหม รัฐเคยออกข่าวด้วยนะครับว่า มีคนไทยเปิดบริษัทหลอกลวงให้บริการForex โดยใช้เว็บไซต์เป็นสื่อกลางชื่อว่า Northfinance แล้วคิดดูครับว่า เค้าหลับหูหลับตาทำขนาดไหน..?

ตอนนี้ รัฐพอจะทราบแล้วครับว่าแนวโน้มต่อไปไม่ใช่บริษัทหลอกลวงในไทยแล้วครับ แต่เป็นว่าการเข้าถึงบริษัทForex ในต่างประเทศจริงๆ นั้น ทำได้ง่ายขึ้นในวันนี้เพราะมี Internet แน่นอน เค้ายังไม่ยอมแพ้ครับ เลยออกกฎมาเพิ่มเติม ดังนี้

1. กรณีผู้ให้บริการอยู่ในประเทศไทย การทำธุรกรรมดังกล่าวโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีความผิดตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
2. กรณีผู้ให้บริการดังกล่าวอยู่ต่างประเทศ เมื่อบุคคลในประเทศต้องโอนเงินออกไปเพื่อชำระหนี้ตามธุรกรรมซื้อขายแลก เปลี่ยนเงิน จะไม่ได้รับอนุญาตให้โอนเงินออก และมีความผิดตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน

คำว่าผู้ให้บริการ ที่เราๆ เข้าใจกันก็คือBroker นะครับ ถ้าเล่นผ่านเน็ตส่วนใหญ่ข้อ 1 ก็ตัดทิ้งไปได้เลย แต่ข้อ 2 ผมแนะให้สมาชิกทราบกันนิด เค้าอาจจะเอาผิดคุณได้ ถ้ามีหลักฐานว่าคุณเล่น Forex ที่ต่างประเทศ โดยหลักฐานที่ว่าน่าจะเป็น การโอนเงินให้กับ Broker โดยตรง เช่น การไปโอนที่ธนาคาร หรือ การตัดบัตรเครดิต หรือการโอนเงินกลับมาในประเทศจาก Broker ตัดโดยตรง

ดูซิครับ! เค้าจะเล่นงานคุณขนาดไหน แต่วันนี้ คุณ ยังไม่ต้องกลัวนะครับถ้ายังไม่ได้ทำธุรกรรมกับการเงินกับทาง Broker โดยตรง เพราะหากเป็นแค่การใช้งานโปรแกรมจริงๆ แล้วไม่มีหลักฐานทางการเงิน ก็เหมือนกับคุณเล่นเกมส์ Poker เงินปลอมเท่านั้นเอง ไม่ผิดอะไร เป็นแค่ความบันเทิงใจของเรา

ผมไม่ใช่พวกต่อ ด้านกฎหมายนะครับ คิดว่ากฎหมายการฟอกเงิน กฎหมายเกี่ยวกับ กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ต้องบอกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้ว ไม่ควรเหมารวมเอาForex เป็นเครื่องมือ และน่าจะเปิดเสรีด้านนี้ไปได้แล้ว จะได้เจริญตามต่างประเทศที่เค้ามี Forex ถูกกฎหมายกันซะที ประเทศที่ไม่มีอะไรเลย เช่น สิงค์โปร ฮ่องกง ทำตัวเป็น Broker อย่างเดียวก็รวยกว่าเราแล้ว ทำไมเราทำให้ดีได้กลับไม่ทำแถมห้ามอีก

จากคนเคยโดยรัฐเล่นงาน

admin สนับสนุนไม่ให้คุณถูกหลอกนะครับ ข่าวบางอย่างก็ถูกต้องและควรรับฟังอย่างยิ่ง และสนับสนุนให้คุณไม่ทำผิดกฎหมายด้วยนะครับ กฎเค้าออกอะไรมา เลี่ยงได้ก็อย่าไปฝืนกฎนะครับ แต่ถ้าไม่ผิดกฎและคิดว่าไม่ถูกหลอกก็ทำไปได้เลยครับ เดี๋ยวอนาคตรัฐคงเข้าใจ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,108.0.html

กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค

กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค
มีที่มาหรือแนวความเชื่ออยู่ 3 ประการคือ

1. พฤติกรรมของราคาหุ้น ได้ดูดซับทุกสิ่งออกมาแล้ว
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลต่ออุปสงค์ อุปทานของหุ้น
ข้อมูลสำคัญของการวิเคราะห์จะพุ่งไปที่ปริมาณการซื้อขาย

2. ราคาจะเคลื่อนไหนไปตามแนวโน้มเดิม จนกระทั้งแนวโน้มเดิมหมดลงจริงๆ

3. พฤติกรรมในอดีตมักจะซ้ำรอยในตัวมันเอง "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"

จะเห็นได้ว่ากระบวนการคิดต่างๆในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น พื้นฐานจริงๆมาจากจิตวิทยาของมนุษย์
ดัง นั้น การวิเคราะห์การเหมือนกับการเทรดโดยจิตวิทยาของนักลงทุน ไม่ใช่เทรดโดยการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนที่เทรดแล้วอ้อนวอนสิ่งสักสิทธ์ เขาเรียกกันว่า "นักพนัน"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,106.0.html

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประเภทของการเทรด (Type of Trading)

   การเทรดฟอเร็กซ์ (Forex) นั้นจะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นสองประเภทคือ
1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค ( Technical Analysis)
2.การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน (Fundamentai Analysis)


     เรามาดูการวิเคราะห์ทางเทคนิคกันก่อนนะครับ

     การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการศึกษาและเรียนรู้การเคลื่อนที่ของราคา  การวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็คือการวิเคราะห์แนวโน้มของกราฟนั่นเอง โดยที่เราศึกษาจากประวัติของกราฟย้อนหลังเพื่อนำมาใช้ในการตัดสินกับกราฟปัจจุบัน หาตำแหน่งของราคาที่จะไป หาแนวรับ แนวต้าน จากราคาเก่าๆที่มันเคยสร้างจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดไว้ โดยการดูที่กราฟ และเป็นการศึกษารูปแบบของกราฟที่ได้กำหนดมาแล้ว ว่ากราฟเป็นรูปแบบไหน มีแนวโน้มขึ้นหรือลง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถใช้วิเคราะห์ในการเทรดได้

     สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจำเป็นต้องศึกษาในการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็คือ แนวโน้ม หรือที่เรียกว่า Trend ซึ่งก็มีคำกล่างที่ว่า The Trend is your friend แนวโน้มคือเพื่อนของคุณ พูดง่ายๆก็คือ การเทรดและวิเคราะห์ตามแนวโน้มนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อไรก็ตามที่คุณวิเคราะห์ทางเทคนิคได้แล้วแล้วเทรดตามแนวโน้ม คุณก็จะสามารถทำกำไรจากตลาดฟอเร็กซ์ได้เป็นอย่างดี
การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็แบ่งย่อยได้อีก สองประเภทคือ การวิเคราะห์บนกราฟ และการวิเคราะห์โดยใช้ Indicators


     1.การวิเคราะห์บนกราฟ หรือผมอาจจะใช้ศัพท์บ้านๆคือ การวิเคราะห์กราฟเพียวๆ กราฟเปล่าๆ ก็คือการดูการเคลื่อนที่ของราคา เราสามารถวิเคราะห์ได้โดยใช้ หลักการดูแท่งเทียน (Candle Stick Chart ) การดูรูปแบบของกราฟ (Chart pattern ) การนับคลื่นโดยใช้ทฤษฎีของอีเลียต (ELLIOTT WAVE THEORY) การหาระดับแนวรับแนวต้านโดยใช้ Fibonacci และ จุดสูงสุดต่ำสุดที่ผ่านมา 

     2.การวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือชี้วัด (Indicator) การใช้ตัวชี้วัดหรือ Indicator นี้จะเป็นการวิเคราะห์ย้อนหลังกราฟ โดยอินดิเคเตอร์จะแสดงแนวโน้มหลังราคาเสมอ เราอาจจะใช้คำว่าคาดการณ์ ว่าราคาต้องขึ้น หรือลง จากอินดิเคเตอร์ เช่น ราคาได้ลงแล้ว แล้วอินดิเคเตอร์ชี้ลง เราก็อาจจะ Sell หรือ ราคาขึ้นแล้ว อินดิเคเตอร์ชี้ขึ้น เราก็อาจจะ Buy การวิเคราะห์โดยใช้อินดี้นี้ เป็นการวิเคราะห์ที่ง่ายที่สุด และสามารถทำกำไรได้



     การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) 

     การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยพื้นฐานก็คือการวิเคราะห์แนวโน้มของเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ หรือวิเคราะห์แนวโน้มของเศรษฐกิจของสหรัฐ เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐส่งผลไปทั่วโลกนั่นเอง  การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเราสามารถวิเคราะห์ได้โดยการดูข่าวของประเทศนั้นๆ ถ้าข่าวของประเทศนั้นออกมาดี มีทิศทางที่ดีขึ้น ค่าเงินของประเทศนั้นก็จะดีขึ้น  แต่ถ้าปัจจัยพื้นฐานของประเทศนั้นแย่ลง ค่าเงินของประเทศนั้นก็จะแย่ลงเช่นกัน สมมติว่าเราเล่นค่าเงิน EUR/USD ถ้าปัจจัยพื้นฐานของ กลุ่ม Euro ออกมาดี ก็จะทำให้ EUR/USD พุ่งขึ้น แต่ถ้าปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มยูโร ออกมาไม่ดี กราฟ EUR/USD ก็จะลง

     การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค ควรดำเนินไปด้วยกันสำหรับเทรดเดอร์ เราไม่ควรเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก ก็ควรดูข่าวบ้าง ว่าวันนี้มีข่าวอะไร แนวโน้มของข่าวนั้นจะบวกหรือลบ ตรงกับที่เราวิเคราะห์ทางเทคนิคมั้ย แล้วเครื่องมือของเราบ่งบอกอะไรบ้าง และถ้าวิเคราะห์ข่าว ก็ควรจะดูเทคนิคไว้บ้าง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ พวกที่วิเคราะห์ข่าว มักจะไม่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเลย เพราะพวกนี้มั่นใจกับข่าวที่จะเกิดขึ้นและเทรดตามข่าวนั้นๆ แต่โดยความเห็นส่วนตัวผมว่า ควรจะดูไว้บ้าง เพราะบางครั้ง ข่าวออกมาบวก แต่กราฟวิ่งลงก็มีครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,89.0.html

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น

การขาดทุนติดๆกัน และภาวะอาการ “จิตหลุด” ของนักเล่นหุ้น โดย Barry Lutz
ใน ช่วงที่ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาลงนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำกับนักเล่นหุ้นทุกคนนั้น คือการขาดทุนที่มักจะเกิดขึ้นติดๆกันเป็นระยะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือการควบคุมอารมณ์และสติของเราให้มั่นคง เพื่อที่จะรักษาวินัยในการลงทุนเอาไว้ และในวันนี้ผมได้นำวิธีการง่ายๆที่อาจช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และสติของคุณ ได้ดียิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยครับ 

คุณได้ เข้าซื้อหุ้นไปสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มดิ่งหัวลง หลังจากนั้นคุณจึงตัดสินใจครั้งใหม่ที่จะ Short หุ้น แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็เด้งขึ้นทันที นับรวมแล้วก็เป็นอันว่าคุณขาดทุนติดกัน 2 ครั้งเสียแล้ว และมันทำให้คุณรู้สึกค่อนข้างลังเลขใจเล็กน้อย นั่นทำให้คุณรู้สึกแหยงๆที่จะไม่เทรดหุ้นในสัญญาณครั้งต่อไป และเป็นอย่างที่คุณคิดเอาไว้ นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้คุณได้กำไร! เอาล่ะสมมุติว่ามันแย่กว่านั้นอีก คุณตัดสินใจไล่ซื้อตามมันไป ซึ่งหลังจากที่คุณได้ไล่ซื้อมันไปไม่นานนัก มันก็ดิ่งหัวลงมาและทำให้คุณขาดทุนอีกครั้ง สรุปแล้วในขณะนี้คุณขาดทุนติดกันถึง 3 ครั้งแล้ว..  

คุณอาจคิดว่า “โอเค.. ลองอีกครั้งก็ได้ฟระตรู เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแหละวุ้ยยยย”

ใน ครั้งนี้ คุณตัดสินใจอย่างฉลาดสุดๆ คุณสังเกตได้ว่าตลาดนั้นวิ่งอยู่กรอบแคบๆ มันจะเด้งขึ้นเมื่อเจอกับแนวรับ และเด้งลงเมื่อเจอกับแนวต้าน ดังนั้นในครั้งต่อไป คุณจึงตัดสินใจที่จะซื้อ-ขายเมื่อมันวิ่งไปชนกับกรอบราคา แทนที่จะเล่นด้วยระบบเดิมๆของคุณ

ต่อมานั้น ตลาดได้วิ่งไปคลอเคลียอยู่แถวแนวรับ ซึ่งมันเข้าทางกับแผนการที่คุณได้วางเอาไว้ คุณจึงตัดสินใจ “ซื้อมันซะเลย” แต่แทนที่มันจะเด้งขึ้นเหมือนอย่างที่ผ่านมา ราคาของหุ้นกลับดิ่งทะลุแนวรับไปเสียนี่.. และนี่ไม่เพียงทำให้คุณขาดทุนติดๆกันถึง 4 ครั้ง แต่นี่เป็นการขาดทุนจากการที่คุณแหกระบบที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของคุณไป เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเป็นสัญญาณที่หากว่าคุณทำตามระบบไปละก็ กำไรในคราวนี้จะกลบการขาดทุนใน 3 ครั้งที่ผ่านมาทั้งหมดเลยทีเดียว

เอา ล่ะ เมื่อมาถึงตอนนี้คุณจะทำอย่างไรต่อไป.. “เลิกเล่น?” แล้วพยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้ตัวเองหลงผิดมาเก็งกำไรครั้งใหม่.. โยนคอมพิวเตอร์ทิ้งไปนอกบ้านซะเลย แล้วลืมๆมันไปซะ… นี่เป็นสัญญาณที่กำลังบอกคุณว่า คุณกำลัง “จิตหลุด” แล้วหละครับ
       
อะไรคือภาวะ “จิตหลุด”
ผม คิดว่าภาวะของอาการ “จิตหลุด” นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่คุณนั้นได้ยอมรับว่า “การขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของระบบการลงทุนและการเก็งกำไร” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่การขาดทุนที่สะสมติดต่อกันนั้น ได้ค่อยๆทำให้คุณสะสมความกดดันจนไปถึงจุดหนึ่งที่คุณนั้นไม่สามารถที่จะยอม รับมันได้อีกแล้วนั่นเอง ซึ่งภาวะอาการ “จิตหลุด” กะทันหันนี้ ทำให้คุณนั้นหน้ามืดและมองข้ามระบบการลงทุนของคุณไป และถูกแทนที่ด้วยอารมณ์จากผลการซื้อ-ขายในครั้งที่ผ่านๆมานั่นเอง และถึงแม้ว่าการ “เลิกเล่น” นั้นจะเป็นสิ่งเดียวที่ดูจะเหมาะสมในช่วงเวลาอย่างนี้ แต่อาการ “จิตหลุด” ของคุณนั้น อาจจะทำให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่คาดคิดไปตามอารมณ์ของคุณก็เป็นได้ และมันอาจเป็นไปอย่างนั้นจนถึงจุดๆหนึ่งซึ่งมันหมดหวังเต็มที จนทำให้คุณนั้นไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไปและจำเป็นต้อง “เลิกเล่น” ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม บทความนี้นั้นไม่ได้พยายามที่จะพูดถึงเรื่องของอารมณ์และการเก็งกำไรของคุณ หรือเกี่ยวกับเรื่องของความกลัวซึ่งคอยขัดขวางนักเล่นหุ้นหรืออะไรเทือกๆ นั้น เพราะอย่างที่เรารู้ๆกันว่า อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคุณต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน หรือไม่เช่นนั้นคุณก็ต้องเลิกเก็งกำไรซะ

นี่ เป็นบทความที่เกี่ยวกับการที่โดยปกติแล้วคุณนั้นสามารถที่จะควบคุมอารมณ์และ สติของคุณในการเก็งกำไรได้เป็นอย่างดี แต่แล้วจู่ๆก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างมาทำให้นักเล่นหุ้นอย่างเราๆเสียการควบ คุมไป และเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งผลจากการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดทุนซึ่งเกิดจากการแหกระบบของนักเล่นหุ้นเองนี่เอง ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิด ขึ้นได้เฉพาะกับนักเล่นหุ้นหน้าใหม่ หรือนักลงทุนระดับล่างๆ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นกับนักเล่นหุ้นทุกคน ซึ่งไม่ว่าใครก็มีสิทธิที่จะต้องเจอกับช่วงเวลาที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรไป ทุกอย่างก็ดูจะผิดที่ผิดทางไปเสียหมด และนั่นทำให้เราเกิดการขาดทุนติดๆกันหลายๆครั้งขึ้นมา ดัง นั้น นี่จึงเป็นสถานการณ์ซึ่งเกิดขึ้นได้กับนักเล่นหุ้นทุกคน เพียงแต่ว่านักเล่นหุ้นแต่ละคนแต่ละระดับนั้น จะมีการตอบสนองต่อภาวะเช่นนี้ต่างกันไป

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเจอกับภาวะเช่นนี้นักเล่นหุ้น นาย A. อาจจะเกิดความตื่นตระหนกอย่างรุนแรงและเกิดอาการ “จิตหลุด” ตามมาทันที ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียความมั่นใจของเขาไปและผลที่ตามมาก็คือการขาดทุนที่ มากกว่าที่ได้คาดคิดเอาไว้อย่างมากมาย หรือในอีกทางหนึ่งนั้น นาย B. อาจจะเกิดความรู้สึกอยาก “เอาคืน” และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เนื่องจากเขามั่นใจว่ายังไงซะ การเก็งกำไรครั้งต่อไปของเขาจะสามารถทำให้เขากลับมาเท่าทุนเหมือนเดิมได้ แต่แล้วอาการ “จิตหลุด” นี้ก็ยังดังเนินต่อไปพร้อมกับการขาดทุนของเขา และทำให้เขาต้องสูญเสียเงินไปมากกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้แต่แรก.. แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จอย่างนาย C. ล่ะ เขาทำอย่างไรกับภาวะเช่นนี้?
       
การควบคุมภาวะของอาการ “จิตหลุด” ในการเล่นหุ้น
เมื่อคุณลองคิดไตร่ตรองดูให้ดี คุณจะพบว่า “ทุก ครั้งที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณได้เกิดขึ้นและคุณสุญเสียการควบคุมสติของคุณไป นั่นจะยิ่งทำให้อาการ “จิตหลุด” ในครั้งต่อไปของคุณเกิดขึ้นเร็วยิ่งกว่าเดิม” นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาหนึ่งที่การเล่นหุ้นกลายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเกินกว่าที่คุณจะทนไหว ซึ่งทำให้คุณไม่อยากเล่นหุ้นอีกต่อไปนั่นเอง

เมื่อลองคิดและไตร่ตรองดูให้ดีอีกครั้ง คุณจะพบว่า “มันเป็นการดีกว่าที่คุณจะเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ในการเล่นหุ้นของคุณ แทนที่คุณจะตัดสินใจเลิกเล่นหุ้นไป” เนื่องจากการเลิกเล่นหุ้นเก็งกำไรนั้น ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะมันไม่ได้ช่วยป้องกันให้คุณไม่คิดที่จะกลับมาลองเก็งกำไรหรือเล่นหุ้น รอบใหม่อีกครั้ง และไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเมื่อคุณต้องเจอกับภาวะขาดทุนติดๆกันอีกครั้ง

ใน การที่จะควบคุมสติของคุณให้ได้ ก่อนที่คุณจะเกิดอาการ “จิตหลุด” ขึ้นมานั้น คือการเอาชนะจิตใจและตัวตนข้างในของคุณให้ได้เสียก่อน คุณต้องทำมันและพาตัวเองกลับมาเดินอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง แล้วคุณจะได้กำไรชีวิตจากสิ่งที่คุณทำอย่างคาดไม่ถึง เพราะคุณจะรู้ว่าถึงแม้คุณจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่โหดร้าย แต่คุณก็จะมั่นใจในตนเองว่าคุณจะข้ามผ่านมันไปได้ และสามารถควบคุมสติของคุณเอาไว้ได้จนไม่ต้องเกิดการขาดทุนที่มากมายอีกครั้ง

วิธี การง่ายๆที่จะช่วยคุณได้ คือให้คุณลองนำสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นหลักหรือแก่นในการเก็งกำไรของคุณ มาเขียนลงในกระดาษโน้ทเล็กๆแปะไว้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้คุณระลึกและตระหนักถึงมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่ในจิตสำนึกของคุณอยู่ตลอดเวลา แทนที่มันจะไปฝังอยู่ในจิตไต้สำนึกของคุณจนลึกเกินไปนั่นเอง แต่จงระวังไว้ว่าทุกๆครั้งที่คุณได้เขียนโน้ทเอาไว้นั้น ขอให้แน่ใจว่าคุณกำลังเขียนแนวคิดลงไป ไม่ใช่วิธีการ จงอย่ายึดติดกับ”วิธีการ” จนเป็นการทำให้ปัญหาของคุณนั้นย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม

ยก ตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงช่วงเวลาที่อารมณ์ของคุณนั้นพลุ่งพล่านจากการที่คุณได้เกิดการขาด ทุนติดๆกัน ภายในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไว้อยู่ในกรอบแคบๆดู แล้วลองเขียนโน้ทลงไปในลักษณะคำพูดแบบนี้ครับ

“อารมณ์บ้าๆนี้อาจจะมา จากการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วของเรา และการขาดทุนติดๆกันอย่างรวดเร็วนี้อาจมาจากการที่เราพยายามเล่นหุ้นในช่วง เวลาที่ตลาดหุ้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆนี้ก็ได้ หรือเราอาจกำลังเล่นหุ้นบ่อยเกินไปก็ได้ และไม่มีอะไรที่ได้ผิดพลาดไปในระบบของเราหรอก ตราบใดที่เรายังเล่นหุ้นได้ตามระบบของเราอยู่ ทุกอย่างก็ยังคงปกติและเราก็ยังเล่นหุ้นได้ดีอยู่เหมือนเดิม”

เอาล่ะ หรือไม่คุณอาจลองเปลี่ยนเป็นประโยคอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งเขียนออกมาในสถานการณ์เดียวกันดู

“อย่า เป็นไอ้โง่ที่เล่นหุ้นโง่ๆบ่อยเกินไปสิฟะ! เหมือนกับว่ากลัวที่จะขาดทุนในวันนี้เสียเหลือเกิน อย่าทำเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่งั้นเรื่องแบบนี้มันก็จะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะเล่นหุ้นเกินไปถ้ายังคิดจะเล่นในหุ้นแบบเดิมๆ อีก”
       
จงรักษา “สติ” ของคุณเอาไว้
“รักษาสติเอาไว้” คือประโยคต่อไปในกระดาษโน้ทของคุณ
อีก วิธีหนึ่งซึ่งคุณสามารถทำได้นั้น คือโดยการเขียนโน้ทซึ่งคุณพอจำได้ว่าก่อนที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณจะเกิดขึ้นนั้น ได้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น หายใจเร็วขึ้น, เหงื่อออกเยอะ, บิดตัวไปมาอยู่บนเก้าอี้ หรืออาการนั่งไม่ลง และหลังจากที่อาการ “จิตหลุด” ของคุณเริ่มรุนแรงขึ้น เช่น โวยวาย, ขว้างปาสิ่งของ หรือทำลายข้าวของ จนในที่สุดเมื่อคุณเกิดเอาการ “จิตหลุด” แบบเต็มขั้นหรือการตื่นตระหนกอย่างสุดขีด

แน่นอนว่ามันคงจะมีลิสท์ รายละเอียดของอาการที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวเหยียดเลยทีเดียว แต่การที่คุณสามารถที่จะตระหนักถึงมันได้เมื่อมันเกิดขึ้นมานั้น อาจช่วยให้คุณเริ่มที่จะสามารถควบคุมมันเอาไว้ได้ ก่อนที่มันจะควบคุมตัวของคุณแทนนั่นเอง
       
คอยตระหนักอยู่ตลอดเวลา
คุณ ควรต้องรู้ถึงสิ่งที่มีศักย์ภาพที่จะก่อให้เกิดอาการ “จิตหลุด” ของคุณ มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการที่คุณจะยอมรับว่าตัวของคุณนั้นมี “อารมณ์” ข้องเกี่ยวอยู่เสมอ และจงอย่าพยายามที่จะมองข้ามมันไป หรือพยายามเก็บมันซ่อนเอาไว้เพราะคุณมองว่ามันคือสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ ของคุณ เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

คุณ เป็นมนุษย์! มนุษย์ทุกคนมีอารมณ์ และอารมณ์จะเข้มข้นขึ้นเมื่อสถานการณ์ต่างๆนั้นเริ่มบีบคั้นขึ้นมา ดังนั้น คุณอาจไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอกว่าคุณจะทำอะไรเมื่อคุณ “จิตหลุด” และสูญเสียการควบคุณขึ้นมา แต่คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ หรือจำให้ได้ว่าคุณจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อาการ “จิตหลุด” นั้นเกิดขึ้นมาอีกครั้ง คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรที่จะช่วยให้คุณมี “สติ” อยู่เท่าที่คุณจะสามารถทำได้ ในช่วงเวลาแย่ๆของการเล่นหุ้นซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต คุณจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรจะช่วยให้คุณ “กลับมา” มีสติขึ้นอีกครั้ง
       
แล้วนักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้นทำอะไรบ้าง?
นัก เล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จนั้น คือนักเล่นหุ้นที่สามารถที่จะควบคุม ”สติ” ไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่เขามีกำไรหรือขาดทุน และมี “สติ” อยู่ในทุกๆเวลา การมี “สติ” นั้นเป็นส่วนสำคัญในการที่จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดอาการณ์ “จิตหลุด “ ในการเล่นหุ้นขึ้นมา นักเล่นหุ้นที่ดีนั้นสามารถที่จะประเมิณการขาดทุนของเขาในรูปแบบของการเกิด ขึ้นตามธรรมดาของระบบการลงทุน และนักเล่นหุ้นที่ดีนั้นจะสามารถเล่นหุ้นได้ตามระบบที่ดีของเขาได้ไม่ว่าจะ ต้องเจอกับช่วงเวลาเลวร้ายเพียงใด และถึงแม้พวกเขาจะเกิดการขาดทุนขึ้นมา พวกเขาก็จะเข้าใจว่ามันต้องเกิดขึ้น พวกเขายอมรับกับ “ความน่าจะเป็น” ที่มันจะต้องเกิดขึ้น และทำตามระบบต่อไป ซึ่งการซื้อ-ขายครั้งต่อไปนั้นอาจจะทำกำไรให้พวกเขาก็ได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,70.0.html

เคล็ดลับสำคัญวิธีการเรียนรู้ Forex Trading

ให้การศึกษาหลายคนที่ตัดสินใจที่จะป้อน forex trading ควรแก่ตัวเองครั้งแรก. จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้พื้นฐานของการเทรดเข้าสำเร็จแม้, แต่นี่ไม่มีการรับรอง, โดยการยิงยาวไม่, คุณต้องการทราบเพิ่มเติมจากพื้นฐานถึงแม้แต่มีโอกาส fighting ของ succeeding. มีวิธีต่าง ๆ ในการเรียนรู้ forex trading. คุณสามารถเข้าร่วมบริการออนไลน์, การลงทะเบียนในการเทรดโรงเรียน, กลายเป็น การ apprentice ของวาณิชเป็น forex, หรือทำคนเดียว. อย่างไรก็ตาม, ทำคนเดียวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น.

สำหรับ traders ไม่มีประสบการณ์, ดีมากควรเลือกวิธีปลอดภัยกว่าเรียน forex trading. คุณจะได้รับประโยชน์จากผู้สอนมีประสบการณ์ที่กำลังทำการค้าแล้ว forex ในเวลาจริง. ในลักษณะนี้, คุณจะได้รู้จักมักจี่เงื่อนไขที่ตลาดจริง. คุณจะได้รับโอกาสเพื่อดูกระบวนการที่แท้จริงและการตัดสินใจซึ่งคุณสามารถ adopt ในภายหลัง. อย่างไรก็ตาม, มันเป็นกลยุทธ์ของคุณเองที่จะชนะคุณขึ้น.

มีขั้นตอนง่าย ๆ ที่หกที่ traders ไม่มีประสบการณ์สามารถปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุความสำเร็จในตลาด forex.
1. ทัศนคติด้านขวา. Traders ที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย forex จะใช้ทัศนคติของการทำสิ่งที่จะใช้เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ. Stresses นี้ประสบความสำเร็จนั้นอยู่ในบุคคลที่กำลังทำการค้า forex เอง. ไม่ใช่สิ่งสำคัญถ้าคุณอ่าน forex ค้าเคล็ดลับแผ่น หรือฟังเทรดกูรู. จะกลายเป็นไม่ถูกต้องถ้าคุณไม่มีท่าทีที่เหมาะสมสำหรับความสำเร็จ.

คุณสามารถทำการทดลองด้วยตนเองสำหรับสองสัปดาห์ร่วมกับ traders อื่น ๆ ไม่มีประสบการณ์. พวกเขามักจะเรียกว่าเป็น turtles. เรียนรู้การซื้อขาย forex คือหลีกเลี่ยงกับดักของเชื่อว่า คุณจริง ๆ สามารถเข้าประสบความสำเร็จ โดยต่อบุคคลอื่น. เพิ่งได้รับความรู้ด้านขวา และพัฒนากลยุทธ์ของคุณเอง.

2. วิธีการด้านขวา. มันควรเกี่ยวข้องกับแนวโน้มระยะยาว. โปรดจำไว้ว่าแนวโน้มในสกุลใหญ่กินเวลาเดือน หรือแม้แต่ สำหรับปี. เป็นความรับผิดชอบของคุณเพื่อล็อกตัวเองเข้าไปในแนวโน้มเหล่านี้เพื่อทำให้กำไรขนาดใหญ่. ดีที่สุดแนะนำให้ใช้วิธีการหยุดการจับแนวโน้มระยะยาว. วิธีการนี้ได้พิสูจน์ ด้วยการนำระบบซื้อขาย. ซอฟต์แวร์ดียังได้แนะนำให้ใช้. ซึ่งช่วยให้คนขายเพื่อทดสอบวิธีการค้าที่ถูกเลือก และในภายหลังค้าในเวลาจริง.

คุณจำเป็นต้องรู้ว่าการสร้างแผนภูมิที่เหมาะสมและการแมป. มีพร้อมใช้งานซอฟต์แวร์ที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับการย้ายตลาดอยู่แล้ว. มันจะช่วยให้คุณคำนวณเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการขาย หรือการซื้อเมื่อคุณได้อ่านแผนภูมิการตลาด forex.

3. วินัยด้านขวา. Traders ที่ควรวินัยตัวเอง โดยเคร่งครัดต่อในวิธีของพวกเขาพัฒนาแล้วแม้ว่าการสูญหายของรอบระยะเวลา strikes. มันไม่สามารถสอนได้เทคนิคใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอดในตลาด forex แม้เมื่อ downfalls ตี.

4. ความรู้ด้านขวา. Traders ที่สามารถเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว, อย่างไรก็ตาม, พวกเขาควรเอาชนะจิตนี่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย forex. ขอแนะนำให้อ่านหนังสือ motivational ที่มุ่งเน้นเรื่องนี้ส่วนใหญ่.

5. มีความเสี่ยง. ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ดำเนินการ โดยส่วนใหญ่ forex traders พยายามที่จะจำกัดความเสี่ยง. ในสุด พวกเขาอาจประสบการขาดทุนอย่างมากเนื่องจากพวกเขาที่ถูกบล็อกออกในตลาด forex. ทิศทางของเจ้าคือขวาอย่างไรก็ตาม ทางการค้าไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับ downsides. จำไว้เสมอว่า ใน forex ค้าความเสี่ยง lays เงินรางวัล. ไม่มีความแตกต่างระหว่างรีบในการรับความเสี่ยงซึ่งจะถูกคำนวณเรียบร้อยแล้ว. อนุญาตเฉพาะให้คุณรอโอกาสด้านขวา.

6. ค้าขายในการแยก. คนขายของที่ควรเรียนรู้นี้จะทำให้การโฟกัส. จำไว้ว่า ถ้าคุณจะเปิดไปยังมุมมองและความคิดเห็นของผู้อื่น, มันอาจสนับสนุนให้คุณถ้าคุณพบว่าแตกต่างกันมาก. ความหมายไม่จำเป็นว่า คุณได้ทำตามความคิดเห็นที่ตกลงกัน โดยมาก traders, เนื่องจากมัก, traders หลายรับขาดทุน.

Forex ตลาดถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก. เป็นปฏิบัติยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, อาทิตย์ละ 5 วัน. กระบวนการของจะถูกดำเนินในเวลาจริงโดยไม่มีขอบเขต. ความสำเร็จของคนขายยังขึ้นกับการทำการตัดสินใจด้านขวา. เรียนรู้การซื้อขาย forex มีไม่มีอุปสรรคและจุดดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจดีขึ้นก่อน plunging ลงในธุรกิจ. แม้ว่าบางคนแนะนำที่เรียน forex ในขณะที่การค้าเป็นดีที่สุด, แต่เป็นการตัดสินใจเลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ที่จะเหมาะสมกับความต้องการของคุณ.

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,55.0.html

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) หรือบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ทฤษฎีดาวถูกคิดค้นขึ้นโดยนายชาร์ลส์ เอช ดาว (Charles H. Dow) ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว แต่กฏ และหลักการของดาว ยังคงใช้ได้ตราบจนถึงปัจจุบัน หลักการนี้มิได้พูดถึงเพียงการวิเคราะห์ทางเทคนิค หรือ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น แต่สิ่งนี้ถือเป็นปรัญญาของตลาดหุ้น ที่อธิบายถึงพฤติกรรมของตลาดหุ้นที่ยังคงเหมือนเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆเฉกเช่นเดียวกัน กับตลาดหุ้นเมื่อ 100ปีที่แล้ว



ดาว ได้พัฒนา การวิเคราะห์ตลาดหุ้น จนเกิดเป็นทฤษฏีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งเขาได้เสียชีวิตในปี 1902  ซึ่งเขาเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของ และเป็นบรรณาธิการของ หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal แม้ว่าเขาจะไม่ได้เขียนหนังสือของตัวเองก็ตาม แต่เขาก็ได้เป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือ หลายเล่มในการ ให้ความเห็นด้านการเก็งกำไร และ กฎ industrial average
หลังจากที่ดาวเสียชีวิตแล้ว ก็มี หนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับทฎษฎีของเขามากมายเช่น The ABC of Stock Speculation, The Stock Market Barometer เป็นต้น

ทฤษฎีดาว (Dow Theory)
ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 1 – สะสม
ฮามิลตัน (Hamilton) กล่าวไว้ว่าในช่วงแรกของตลาดขาขึ้นมักจะไม่แตกต่างจากตลาดในช่วงขาลง เพราะคนส่วนยังมองในแง่ลบและทำให้แรงซื้อยังคงชนะแรงขายในช่วงแรกของขาขึ้น  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ไม่มีใครถือหุ้น  ประกอบกับไม่มีข่าวดี ทำให้ราคาประเมินของหลักทรัพย์ถึงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์  อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเช่นนี้เป็นช่วงที่ผู้ที่ลงทุนอย่างฉลาดจะเริ่มสะสมหุ้น  และเป็นช่วงที่ผู้ที่มีความอดทนและใจเย็นพอที่จะเห็นประโยชน์ของการเก็บหุ้นไว้จนกระทั่งราคาดีดกลับ  บางครั้งหุ้นมีราคาถูก แต่กลับไม่มีใครต้องการ  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่  วอเรน บัฟเฟท ได้กล่าวไว้ในช่วงฤดูร้อนของปี 1974 ว่าตอนนี้ได้เวลาที่จะซื้อหุ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ในระยะแรกของตลาดขาขึ้น  ราคาหุ้นจะเริ่มเข้าใกล้จุดต่ำสุด แล้วค่อยๆยกตัวขึ้น เมื่อตลาดเริ่มกลับตัวขึ้น คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดกำลังจะปรับตัวขึ้น และเป็นการเริ่มต้นของขาขึ้น  หลังจากตลาดยกตัวสูงขึ้นและดิ่งกลับลงมา  จะมีแรงขายออกมา เป็นการบอกว่าขาลงยังไม่สิ้นสุด  ในช่วงนี้เองที่จะต้องวิเคราะห์อย่างระมัดระวังว่าการปรับตัวลงมีนัยยะสำคัญหรือไม่ หากไม่มีนัยยะสำคัญ จุดต่ำสุดของการลงจะยกสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดเดิม  สิ่งที่ตามมาคือตลาดจะเริ่มสะสมตัวและมีการแกว่งตัวน้อย หลังจากนั้นจึงเริ่มปรับตัวสูงขึ้น  และหากราคาเคลื่อนขึ้นเหนือจุดสูงสุดเดิม จะเป็นการยืนยันถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น

ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ขั้นที่ 2 มักจะเป็นช่วงที่มีระยะเวลานานที่สุด และมีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุด  ระยะเวลานี้จะเป็นช่วงที่กิจการต่างๆเริ่มฟื้นตัว มูลค่าหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น  รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น  ช่วงนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงที่สามารถทำกำไรได้ง่ายที่สุด เพราะมีผู้เข้ามาลงทุนตามแนวโน้มของตลาดมากขึ้น

ตลาดขาขึ้น – ขั้นที่ 3 – เกินมูลค่า
ระยะที่ 3 ของตลาดขาขึ้น เป็นระยะที่มีการเก็งกำไรมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะตลาดเฟ้อ (ดาวได้คิดทฤษฎีนี้ขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน แต่เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยในปัจจุบัน) ในขั้นสุดท้ายนี้ ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด  ค่าที่ประเมิน สูงเกินไป  และความมั่นใจมีมากเกินปกติ  จึงเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนกลับของขั้นที่ 1

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 1 – กระจาย
เมื่อการสะสมเป็นขั้นที่ 1 ของขาขึ้น การกระจายก็คือขั้นแรกของขาลง  นักลงทุนที่ฉลาด จะไหวตัวทันว่าธุรกิจต่างๆ ในปัจจุบันไม่ได้ดีอย่างที่เคยคิด และเริ่มขายหุ้นออก   แต่คนอื่นๆยังคงอยู่ในตลาดและยังพอในที่จะซื้อในราคาที่สูง  จึงเป็นการยากที่จะบอกว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง  อย่างไรก็ตาม จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัว เมื่อตลาดปรับตัวลง คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าตลาดเข้าสู่ขาลง และยังมองตลาดในแง่ดี  ดังนั้นเมื่อตลาดปรับตัวลงพอประมาณ จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อย  ฮามิลตันกล่าวว่าการกลับตัวขึ้นในช่วงขาลงนี้จะค่อนข้างรวดเร็วและรุนแรง  ดังเช่นที่ฮามิลตันได้วิเคราะห์ไว้เกี่ยวกับการกลับตัวที่ไม่มีนัยยะสำคัญนี้ ว่าส่วนที่ขาดทุนไปจะได้กลับคืนมาในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์  การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเช่นนี้เป็นการตอกย้ำว่าขาขึ้นของตลาดยังไม่สิ้นสุด  อย่างไรก็ตาม จะสูงสุดใหม่จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม และหลังจากนั้น หากราคาทะลุผ่านจุดต่ำสุดเดิม นั่นจะเป็นการยืนยันถึงขั้นที่ 2 ของตลาดขาลง

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 2 – การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
เช่นเดียวกับตลาดในขาขึ้น ขั้นที่ 2 เป็นขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุด  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่แนวโน้มเด่นชัดและกิจการต่างๆเริ่มถดถอย  ประมาณการณ์รายได้และกำไรลดลง หรืออาจถึงขาดทุน   เมื่อผลประกอบการแย่ลง  แรงขายจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตลาดขาลง – ขั้นที่ 3 – สิ้นหวัง
ณ จุดสูงสุดของตลาดขาขึ้น ความคาดหวังมีมากจนถึงขั้นมากเกินไป  ในตลาดขาลงขั้นสุดท้าย ความคาดหวังทั้งหมดหายไป   มูลค่าที่ประเมิน ต่ำมาก  แต่ยังคงมีแรงขายอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนในตลาดพยายามที่จะถอนตัวออก  มีข่าวร้ายเกี่ยวกับธุรกิจ  มุมมองเศรษฐกิจตกต่ำ จึงไม่มีผู้ใดต้องการซื้อ  ตลาดจะยังคงลดต่ำลงจนกระทั่งข่าวร้ายทั้งหมดได้ถูกซึมซับแล้ว  เมื่อราคาสะท้อนถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆแล้ว  วัฐจักรก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง

บทสรุปของทฤษฎีดาว
จุดประสงค์ของดาวและฮามิลตัน คือ การหาจุดเริ่มต้นของแนวโน้ม และ สามารถจับการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้  พวกเขารู้ดีว่าตลาดถูกขับเคลื่อนโดยอารมณ์ของตลาดและการเกิดปฏิกิริยาเกิน (Overreaction) จริงทั้งในด้านบวกและลบ  พวกเขาจึงมุ่งความสนใจไปที่การมองหาแนวโน้มและเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม  แนวโน้มจะยังคงอยู่จนกระทั่งสามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงแนวโน้มใหม่ ทฤษฎีดาวช่วยให้นักลงทุนเรียนรู้ข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตั้งข้อสมมติฐานและคาดการณ์ล่วงหน้า  การตั้งข้อสมมติฐานเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับนักลงทุน  เพราะการคาดเดาตลาดเป็นเรื่องยาก  ฮามิลตันเองยอมรับว่าทฤษฎีดาวนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบ  ในขณะที่ทฤษฎีดาวสามารถให้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์  ทฤษฎีนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาแนวทางการวิเคราะห์ของนักลงทุน การอ่านเกมตลาดเป็นศาสตร์ที่ได้จากประสบการณ์ตรงจากตลาด  ดังนั้นกฎของฮามิลตันและดาวจึงมีข้อยกเว้น  พวกเขามีความเชื่อว่าความสำเร็จเกิดจากการศึกษาที่จริงจังและการวิเคราะห์ที่มีทั้งความสำเร็จและความผิดพลาด  ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าหลงระเริง  ขณะเดียวกัน ความผิดพลาด ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่จะให้บทเรียนที่มีค่า  การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นศิลปะอย่างหนึ่งซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝน เรียนรู้ทั้งจากความสำเร็จและล้มเหลวด้วยการมองไปข้างหน้า

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,45.0.html

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Introduction of Technical Analysis article

Introduction of Technical Analysis
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลักการวิเคราะห์ที่ใช้เหตุและผลผ่านตัวเลขทางคณิตศาสตร์ สถิติ  การวิเคราห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนเป็นความน่าจะเป็นหรือทฤษฎีแนวโน้ม ดังนั้นผู้ที่จะเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น ต้องเป็นคนที่ช่างสังเกต และจดจำปรากฎการณ์ต่างๆ จนเป็นรูปแบบซ้ำๆ หรือที่เรียกว่า “Pattern” ซึ่งอาจจะต้องเรียนรู้จิตวิทยาของคน ว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร และคนส่วนน้อยคิดอย่างไร โดยหากสามารถคาดการณ์ว่า กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อตลาดนั้นคิดอย่างไร เราก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกมแห่งการเก็งกำไรได้  นอกจากนี้รูปแบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนหนึ่งอาจจะต้องใช้เครื่องมือคำนวนทางคณิตศาสตร์ที่สามารถแปรข้อมูลในอดีตเพื่อบ่งบอกข้อมูลในอนาคต หรือที่เรียกว่า “Indicator” โดยการคำนวนจากการเปลี่ยนแปลงของราคา และปริมาณในการซื้อขาย ในระยะคาบเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งเมื่อใช้สูตรคำนวนแล้วจะสามารถบอกได้ถึง ความต้องการของอุปสงค์ และอุปทาน (Demand & Supply) ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  มีมากหรือน้อยเกินไปเท่าใด ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ซื้อมากเกินไป (Over Bought) หรือขายมากเกินไป (Over Sold)  ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจถึงจังหวะหรือช่วงเวลาที่ควรเข้าไปทำการซื้อหรือขายเพื่อทำกำไร หรือหยุดขาดทุน

What’s type of investor who’s can do technical chart
นักลงทุนหลายท่าน อาจจะสับสนกับตัวเองว่าการวิเคราะห์แบบใด น่าจะดีที่สุด บางท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ทางพื้นฐาน และบางท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งคำตอบของแต่ละอันก็ล้วนมีเหตุผลที่น่าเชือถือด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อเรื่องมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ว่าสิ่งใดก็ตามหากสิ่งนั้นมีค่าแล้วแต่ยังไม่มีคนเห็น แต่เมื่อเราซื้อได้ก่อนที่ราคาถูกกว่าหรือในราคาที่เหมาะสม แล้ววันหนึ่งหุ้นหรือสินค้าตัวนั้นจะกลับมาสู่มูลค่าที่แท้จริงเสมอ แต่หลักการนี้ มิได้บอกว่าเมือ่ไหร่ ดังนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะมองเรื่องของความต้องการ ของสินค้านั้นในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อที่จะส่ามารถคาดการณ์ว่า ณ ช่วงเวลาใด ควรที่จะซื้อหรือขายสินค้านั้น เพื่อได้ประโยชน์สูงสุด บนข่วงเวลาที่นักลงทุนนั้นๆ กำหนดไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น หรือระยะยาวนานเพียงใด

ดังนั้นไม่ว่าจะหาคำตอบอย่างไร ก็คงมีเหตุผลที่ดีทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้ต้วท่านต่างหากที่จะเป็นคนหาคำตอบ โดยท่านควรที่จะรู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทใด ซึ่งหากเปรียบเทียบการลงทุน นั้นเปรียบเสมือนการทำธุรกิจอย่างหนี่งที่ท่านจะต้องลงทุน ท่านจะต้องทำความเข้าใจถึงธุรกิจนั้นๆก่อน ว่าเป็นธุรกิจประเภทใด ซึ่งท่านมีความถนัด ความรู้ ความเข้าใจ ความชอบ และรักธุรกิจนั้นมากน้อยขนาดใด ซึ่งอยู่บนฐานของเงินลงทุน และระยะเวลาที่ท่านต้องการคืนทุน หรือสภาพคล่องในระหว่างดำเนินการ
ซึงหากจะเปรียบเป็นการแบ่งประเภทสินค้าที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้น อาจแบ่งได้ 3ประเภท

1. Fashion Product  สินค้าที่ใช้ตามยุคสมัยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือตามแฟชั่น ซึ่งสินค้านี้อาจจะมีความต้องการสูงสามารถซื้อหรือขายได้ง่าย สามารถสร้างกำไร ได้อย่างรวดเร็ว แต่ส่วนต่างทางการทำกำไรอาจไม่มากนัก แต่ข้อเสียคือหากซื้อมา แล้วขายไม่หมดในช่วงเวลาที่ตลาดต้องการ สินค้านั้น มีโอกาสหมดอายุและมูลค่าอาจจะลดลงอย่างรวดเร็ว หรือไม่เหลือมูลค่าหากความต้องการหมดไปดั่งเช่น สินค้าไฮเทค หรือ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า

2. Utility Product สินค้านี้มีความต้องการอยู่ในตลาดอย่างสม่ำเสมอ หรือเปรียบเหมือนสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีการซื้อและขายอยู่ทั่วไป ไม่ค่อยจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านั้นอย่างรุนแรง ซึ่งการซื้อขายสินค้าประเภทนี้ อาจจะมีส่วนต่างๆทางกำไรอยู่ไม่มากนัก แต่มีความผันผวนของราคาต่ำๆ และสามารถซื้อตุนสินค้าต่อคราวได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสินค้าเหล่านี้ คือ ผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน หรือสินค้าทั่วไปที่มีใน Convenience Store

3. Unique Product สินค้าประเภทนี้ผู้ทำการซื้อขาย ต้องมีความเข้าใจในสินค้านั้นเป็นอย่างดี มีความรู้ความเข้าใจ ความรักในสินค้านี้ โดยที่ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าสินค้านี้ จะสามารถขายได้เท่าไหร่ หรือเมื่อใด ซึ่งอาจจะต้องรอจนกว่าจะได้ผลตอบแทนที่พึงพอใจจึงจะยอมขาย  ดังนั้นสินค้าประเภทนี้จึงไม่ค่อยมีการเปลี่ยนมือได้ง่ายนัก แต่จะมีโอกาสขายได้ง่ายเมื่อวันหนึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดหรือจากแฟชั่น หรือเมื่อมีคนเห็นว่าสินค้านั้นดี และมีมูลค่าอย่างมากในอนาคต  ซึ่งผู้ขายสามารถเรียกราคา และได้กำไรจากสินค้าประเภทนี้ในส่วนต่างของกำไรที่มากกว่าสินค้าประเภทอื่น แต่อาจต้องอาศัยระยะเวลา และความรู้ความเข้าใจสินค้านั้นอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนสินค้านี้ คือของสะสม ของหายาก ดังเช่น แสตมป์ รูปภาพ พระเครื่อง หรืออัญมณี

ซึ่งหากแบ่งประเภทธุรกิจให้เห็นดังนี้แล้วเราก็สามารถจัดตัวเองได้ว่าเป็นนักลงทุนประเภทใด และควรมีสินค้าประเภทไหน อยู่ในร้านค้าของตัวเอง โดยจะเห็นว่า

Fashion Product สินค้าแฟชั่น นั้น ผู้ลงทุนจะต้องอาศัยการคาดการณ์ความต้องการของตลาด ติดตามสภาวะความต้องการของตลาดเสมอ สามารถตัดสินใจ ได้เร็ว กล้าเสี่ยง และยอมรับการขาดทุนอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งเปรียบเสมือนการเก็งกำไร จากการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็วจาก Demand and Supply
  
Utility Product ผู้ลงทุนเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยอาจจะต้องติดตามความต้องการของตลาดบ้าง แต่ไม่ต้องใกล้ชิดเหมือนสินค้าแฟชั่น โดยสามารถซื้อขายสินค้านั้นได้คราวละเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสินค้าเหล่านั้นเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่แล้ว โดยหากเปรียบนักลงทุนประเภทนี้ ก็คือนักลงทุนประเภทกองทุน ที่จำเป็นจะต้องซื้อสินค้า เพื่อไว้ขาย ได้ในคราวที่ละมากๆ โดยคำนึงถืงสภาพคล่อง
  
Unique Product ผู้ลงทุนอาจจะต้องเป็นนักลงทุนที่มีความรักในผลิตภัณฑ์นั้นอย่างแท้จริง โดยสามารถซื้อสะสมได้ตลอด และรู้ถึงมูลค่าแท้จริง (Intrinsic Value) ของสินค้านี้ในอนาคตได้ว่าเป็นเช่นไร ซึ่งเปรียบเสมือนนักลงทุนประเภท Value investor โดยท่านจะมีความสุขเมื่อเห็นมูลค่าของสินค้าที่ท่านมีการเติบโตขึ้น โดยที่แม้ท่านอาจจะไม่ได้คิดอยากขายสินค้านี้ในอนาคตก็ตาม หรือหากขายท่านก็อาจจะยอมขายในราคาที่ท่านพอใจเท่านั้น

เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วคงจะรู้แล้วว่าต้วท่านควรจะเลือกธุรกิจประเภทไหน ซึ่งท่านสามารถแบ่งสัดส่วนของประเภทสินค้า ต่างๆ ไว้ในร้านของท่าน ก็ได้ หรือจะเลือกประเภทใด ประเภทหนึ่งไปเลย เพื่อความถนัด และความพร้อมของแต่ละบุคคล
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,42.0.html

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

Why do people have to learn Technical chart. ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหากคุณเชื่อว่า


- หากคุณเชื่อในกฎของอุปสงค์อุปทาน   Demand and Supply
- หากคุณเชื่อว่าคนเราส่วนใหญ่มักซื้อด้วยอารมณ์เพราะความต้องการซื้อ มากกว่าการซื้อด้วยเหตุผลเพราะราคาถูก
- หากคุณเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีวงจรชีวิตหรือวัฏจักร
- หากคุณเชื่อว่าในตลาดมักมีคนรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่นเสมอ
- หากคุณต้องการเพิ่มมุมมอง สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน
- หากคุณไม่รู้ว่า P/E และ P/B เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าถูก หรือแพง เพราะในอดีตจะเห็นว่า ค่า Price to Earning ของหุ้นแต่ละตัว ตลาดหุ้นแต่ละตลาด ยังมิได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ หรือมึค่าเท่ากันทุกตลาดเลย

ซึ่งสรุปได้ว่า ณ ช่วงเวลาต่างกันในหุ้นตัวเดียวกัน มูลค่ายังมิเท่ากัน เหตุเพราะความต้องการไม่เท่ากันต่างหากที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากเรากำหนดสิ่งต่างๆ ว่าถูกหรือแพง โดยการใช้ค่า Price to earning หรือ Price to Book value เพียงอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ถูกต้อง มิเช่นนั้นแล้วอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อัตราเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน คงจะคงที่เหมือนกันหมด

คนซื้อหุ้นเพราะเกิดจาก อารมณ์ และความคาดหวังว่า หุ้นตัวนั้นดี ราคาไม่แพง หรือน่าที่จะทำกำไรได้ เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการบอกถึงอารมณ์ของคนที่ ซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเช่นไร และมีแนวโน้มไปในทิศทางใด เหตุเพราะ
- ราคาหุ้นเป็นผลรวมที่สะท้อน ถึงการทราบข่าวสารต่างๆไว้หมดแล้ว
- ราคาเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้ม
- พฤติกรรมในอดีต หรือประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอย

ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะสะท้อนออกมาทางราคาหรือกราฟอยู่แล้ว
- สามารถหยุดขาดทุนหรือเลือกที่จะขายทำกำไรได้ จากกราฟ
- มีความยืดหยุ่นในการใช้สูง
- ย่นระยะเวลาในการศึกษาในหุ้นแต่ละตัว และทำให้วิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้มากขึ้น
- สามารถมองเห็นพฤติกรรมของหุ้น ที่จะขึ้นลงได้ก่อนที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงพบ
- สามารถ เก็งกำไร และเลือกลงทุนในระยะสั้น หรือระยะยาวได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,33.0.html

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วย การวิเคราะห์ทางเทคนิค

กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ


1. ดูแนวโน้ม
เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5. ใช้เส้นแนวโน้ม
เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

6. ติดตามค่าเฉลี่ย
หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

8. มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,32.0.html