แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตลาด forex แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตลาด forex แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Forex คืออะไร

Forex คืออะไร


ถ้า คุณเคยเดินทางไปต่างประเทศ คุณจะต้องเคยเห็นบูธสำหรับแลกเปลี่ยนสกุลเงินตามสนามบินหรือสถานที่ท่อง เที่ยวต่างๆ และคุณจะต้องเคยนำเงินในกระเป๋าของคุณเข้าไปแลกเปลี่ยนให้เป็นเงินสกุลของ ประเทศที่คุณเดินทางไป เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายซื้อของในประเทศนั้น
การทำ อย่างนี้ก็คือคุณได้เข้ามามีส่วนร่วมในตลาด Forex แล้ว คือคุณมีการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เช่นคุณขายเงินของคุณซึ่งเป็นสกุลเงินบาทและซื้อเงินสกุลดอลลาร์มาเก็บไว้ ใช้จ่าย
และสมมติตอนคุณกำลังจะเดินทางกลับประเทศ คุณได้เข้าไปที่บูธแลกเปลี่ยนสกุลเงินเพื่อจะนำเงินดอลลาร์ที่เหลือจากการ ใช้จ่ายมาแลกเปลี่ยนคืนให้เป็นสกุลเงินบาท คุณพบว่าสกุลงินดอลลาร์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่เปลี่ยนไป ทำให้คุณสามารถทำกำไรจากการแลกเปลี่ยนเงินคืนได้
ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยน สกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Exchange) หรือปกติเราเรียกว่า “Forex” หรือ “FX” เป็นตลาดการเงินการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ตลาด Forex จะมีขนาดใหญ่กว่ามากอย่างเทียบกันไม่ได้ คือมีมูลค่าการซื้อขายถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
เรามาลองเปรียบเทียบ ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น สมมติเราเปรียบตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก New York Stock Exchange (NYSE) ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขาย 22,400 ล้านดอลลาร์ต่อวัน เป็นสัตว์ประหลาดด้านล่างนี้


 ทุกๆ วันคุณอาจจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากทีวี วิทยุ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือเว็บไซต์เกี่ยวกับการเงินการลงทุนต่างๆ ทำให้คุณอาจจะรู้สึกว่าตลาดหุ้นนั้นเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก
แต่ถ้าคุณนำตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาเปรียบเทียบกับตลาด Forex ก็จะมีลักษณะเช่นนี้

สังเกตกราฟด้านล่างแสดงมูลค่าการซื้อขายต่อวันของตลาด Forex เปรียบเทียบกับ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค โตเกียว และประเทศไทย


จะ เห็นได้ว่าตลาด Forex มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดถึง 200 เท่า และในปริมาณการซื้อขายทั้งหมดของตลาด 5 ล้านล้านดอลลาร์ มีมูลค่าการซื้อขายที่เกิดจากนักลงทุนรายย่อยหรือนักลงทุนอิสระ(นักลง ทุนอย่างพวกเรา)ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์!

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,541.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Volume ในตลาด Forex

การใช้ประโยชน์จาก Volume ในตลาด Forex

พูดถึง Volume ทุกคนรู้ว่ามันคือ ตัวชี้วัด "ปริมาณการซื้อขาย" นั่นเอง แต่เทรดเดอร์ไม่มากนักในตลาด Forex ที่รู้จักการใช้ Volume Indicator อาจเป็นเพราะเขาคิดว่ามันไม่ได้บอกสัญญาณที่สำคัญอะไรก็เลยไม่เอามันออกมา ใช้ วันนี้เราจะมาคุยเรื่องของเจ้า Volume นี้กันว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง ถ้าคุณใช้เป็นและรู้ว่าจะใช้งานมันอย่างไรให้เกิดประโยชน์ในตลาด Forex เจ้า Volume นี้อาจทำให้พอร์ตคุณโตขึ้นก็ได้

แล้วเราจะไปหาเจ้า Volume Indicator มาจากไหนล่ะ ? อันที่จริง MT 4 มี Volume เป็น Indicators พื้นฐานมาให้เราแล้ว แค่คุณคลิ๊กขวาที่ที่กราฟ แล้วกด "Ctrl+L" ก็มีมี Volume ขี้นมาที่กราฟของคุณ หรือถ้าอยากจะได้ Volume ที่แยกออกมาจากกราฟ คุณก็ทำได้โดยการ เข้าไปที่ Menu ด้านบน เลือก Insert > Indicators > Volume>  หลังจากนั้นจะมีหน้าต่างตั้งค่าของ Volume ขึ้นมา ให้เราเข้าไปที่ Visualization แล้ว เลือกที่ช่อง Show in data window แค่นี้คุณก็จะได้ Volume ที่มี สองสี แยกออกมาจากหน้าต่างหลัก ดูง่าย อยากได้สีอะไร เส้นหนาบางแค่ไหนคุณก็ปรับแต่เอาได้ตามสบายเลยค่ะ

เมื่อทำตามขั้นตอนแล้ว กราฟของเราจะเป็นดังภาพตัวอย่าง


ทำไมเทรดเดอร์ในตลาด Forex ถึงไม่ให้ความสำคัญกับ Volume Indicator ?
อัน ที่จริงแล้ว เจ้า Forex volume indicators นั้นไม่ได้แสดงปริมาณการซื้อขายจริง คือมันไม่ได้แสดงถึงจำนวนเงินเข้ามาในตลาดโดยตรง เพราะตลาด Forex  เป็น Over the counter market  ที่มีปริมาณการซื้อขายที่มหาศาล ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดตามปริมาณที่แท้จริงของปริมาณเงินที่เข้ามา นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เทรดเดอร์หลายคนเชื่อว่า Forex Indicator volume ไม่แสดงการไหลของเงินจริงจึงไม่ใช้มัน

การอ่าน Volume สามารถ

ยืน ยันได้ถึงเทรนที่แข็งแรง หรือ เตือนเราว่าเมื่อไหร่ที่เทรนกำลังอ่อนแอ Volume ที่เพิ่มขึ้น จะบอกได้ว่าเทรนนั้นมีความแข็งแกร่ง และเมื่อ Volume ลดลง ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า เทรนที่กำลังเป็นอยู่นั้น กำลังหมดแรงและอาจใกล้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนเทรนแล้ว

โวลุ่มที่สูง (พรวดพลาด) หลังจากที่โวลุ่มอ่อนค่าลงไป มักจะเป็นสัญญาณว่าเทรนกำลังจะเปลี่ยนไป จุดที่น่าทำการซื้อขายที่สุด ให้สังเกตเมื่อมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ ที่บริเวณแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ปริมาณการซื้อขายนี้ สามารช่วยตรวจสอบได้ถึงการ Breakout ของราคา ว่าจริงหรือหลอก


การอ่านค่า Volume Indicator ที่มากับ MT4
แท่ง สีเขียวแสดงถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแท่งก่อนหน้า และสีแดง แสดงถึงปริมาณการซื้อขายที่ลดลงมากกว่าแท่งก่อนหน้า อย่าเข้าใจผิดว่าสีเขียวแสดงถึงปริมาณการซื้อที่เยอะกว่า และสีแดงแสดงถึงปริมาณการขายที่เยอะกว่านะคะ


การอ่านสัญญาณจากปริมาณการซื้อขาย
ก่อน อื่นจงจำไว้ว่า ไม่ควรใช้ Volume เพื่อวัดปริมาณการซื้อขายใน Timeframe เล็กกว่า H1 เพราะสัญญาณที่ได้จะน้อยมากและมีสัญญาณรบกวนจากตลาดมากเกินไป และมันยังยากที่จะตรวจสอบได้ถึงสภาวะที่แท้จริงในช่วงระยะเวลาที่สั้นเกินไป ดังนั้น ควรใช้ Volume ใน TF ที่มีขนาดใหญ่ (H1, H4, D, W) เพื่อให้ Volume เก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น

Volume กับ Candle Stick
Volume บอกเราได้ถึงการต่อสู้เทรน แท่งVolume ที่ดีจะบอกเราได้ว่าใครชนะระหว่าง "หมี & กระทิง" อย่างไรก็ตาม  ถ้า Volume มีปริมาณมาก แต่ราคายังไม่ไปไหนเลย ก็เป็นสัญญาณ "อันตราย" เตือนได้ว่าตอนนี้ หมีกับกระทิงกำลังสู้กันอย่างหนัก เดี๋ยวพอได้ผู้ชนะ ราคาก็จะไปทางนั้น

แท่งราคายาว & Volume มาก = Trend  นั่นคือ ราคาจะยังคงเป็นเทรนเดิมต่อไป
แท่ง ราคายาว & Volume น้อย = Fake นั่นคือ สัญญาณหลอก ถ้าแท่งเป็นขาขึ้นก็ขึ้นไม่นาน ถ้าลง ก็ลงไม่นาน อาจเป็นสัญญาณ fail Break out  ถ้าเกิดบริเวณแนวรับแนวต้าน
แท่งราคาสั้น & Volume น้อย = Weak บอกได้ถึง เทรนนั้นกำลังอ่อนแอ ให้เตรียมตัวปิดเก็บกำไรได้
แท่ง ราคาสั้น & Volume มาก = Squat คือสัญญาณว่ามันกำลังเตรียมตัวพุ่งไปทางใดทางหนึ่ง หลังจากหมีกับกระทิงตีกันเสร็จ ใครชนะราคาก็จะพุ่งไปทางนั้น

Volume กับ Divergence
จาก ประสบการณ์ของตัวเองในตลาด Forex พบกว่ายังมีเทรดเดอร์บางกลุ่ม (รวมทั้งตัวเราด้วย) ได้ใช้ประโยชน์จากการดู Volume กับ Divergence ในการอ่านและคอนเฟิร์มรูปแบบ Chart Pattern ต่างๆด้วย โดยที่เราสามารถดู Divergence ได้จาก Oscillator ที่แตกต่างกัน ที่เรานิยมใช้กันมากก็มี RSI , Stochastic และ MACD  เราจะยืนยันว่า Divergence นั้นเป็นจริงได้จากการที่ Volume การซื้อขายลดลงในระหว่างการเกิด Divergence นั้น ถ้าคุณยังไม่รู้จักวิธีการดู Divergence ก็เข้าไปศึกษากันได้ที่
Divergence and Convergence Trading

ตัวอย่างการยืนยัน Divergence ของ Volume


นี่ คือการอ่านค่า Volume Indicator แบบพื้นฐาน สำหรับ ตลาด Forex  อ่านง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิดใช่มั้ยล่ะคะ ลองเอาไปทดลองใช้กันดูนะคะ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะชอบมันก็ได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,480.0.html

รูปแบบและการเทรด Gap

รูปแบบและการเทรด Gap


Gap คือ ช่วงราคาที่ไม่ต่อเนื่องกัน เราจะเห็นว่าราคาเกิดการกระโดดขึ้นหรือลงจนทำให้เกิดช่องว่างขึ้น ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของแรงซื้อกับแรงขาย ในตลาด Forex เราจะเห็น Gap กันเป็นประจำในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ตลาดเปิด สาเหตุเพราะนักลงทุนต้องการซื้อหรือขายทันทีที่ตลาดเปิด หรือ ช่วงที่มีข่าวแรงๆ เมื่อเกิด Gap เราจะเรียก Gap ว่า Windows ซึ่งแนวที่เปิด Gap จะสามารถใช้เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่ดีได้ และหากเราเข้าใจถึงชนิดของ Gap ที่เกิดขึ้นก็จะทำกำไรได้เป็นอย่างดี Gap กระโดดขึ้นมักแสดงแนวโน้มขาขึ้น Gap กระโดดลงมักแสดงแนวโน้มขาลง ซึ่ง เราสามารถแบ่ง Gap ออกได้เป็น 4 อย่างดังนี้

1. Common Gap มัก เกิดในขณะที่แนวโน้มของราคาเกิดการเคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง (Sideways) ในบางครั้งจะเกิดช่องว่างและจะมีการปรับตัวขึ้น-ลงเพื่อปิดช่องว่าง จึงไม่น่าสนใจ เพราะไม่สามารถบอกทิศทางได้


2. Breakaway Gap เป็น Gap ที่เกิดจากการที่ราคามีการวิ่งทะลุ (breakout) ฝ่าแนวรับหรือแนวต้านไปได้หลังจากที่ราคาวิ่งเป็น Sideway พูดได้ว่า เป็นการพุ่งทะลุแนวรับ - แนวต้านหลังจากที่สะสมพลังในช่วง Sideway มาเต็มที่แล้ว อาจเห็นได้ในช่วงที่ราคาวิ่งอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมต่างๆ แล้วพุ่งทะลุออกมา มักเกิดจากการที่ตลาดรอข่าว จึงวิ่งเป็น Sideway และเมื่อข่าวออกมา ก็มีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาแบบถล่มทลาย จึงทำให้ราคากระโดดจนเป็น Gap ถ้าเกิด Gap ในลักษณะนี้ ให้หาจังหวะซื้อหรือขาย ตามทันที (โดยทั่วไปแล้ว เมื่อราคาวิ่งทะลุแนวรับหรือแนวต้าน มักจะวิ่งกลับมาทดสอบที่แนวรับ - แนวต้านนั้นอีกครั้ง หรือที่เราเรียกว่า การ "ปิดแก๊บ"  แต่บางครั้งถ้ามีการซื้อหรือขายที่มีปริมาณมากๆ แบบมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกระแสข่าวที่ออกมาแรงมากเป็นต้น ราคาก็อาจจำไม่กลับมาทดสอบ แต่มันจะวิ่งไปเลย)


3. Runaway Gap หรือ Measuring Gap เป็น Gap ที่มักเกิดหลังจากเกิด Breakaway Gap  ซึ่งเมื่อเกิด Runaway Gap ขึ้น ก็จะเป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของทิศทางราคานั้นๆ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายจะอยู่ในระดับปานกลาง ไม่มากนัก แต่ก็คาดได้ว่า ราคาจะวิ่งไปอีกประมาณ 1-2 เท่าตัวเมื่อวัดจาก Breakaway Gap (ตัวอย่างตามภาพ)


4. Exhaustion Gap เป็น Gap  ที่ต้องระวัง เพราะเป็นการกระโดดขึ้นหรือลงเป็นครั้งสุดท้ายของราคา เป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มหมดแรง และจะมีการเปลี่ยนทิศทางในไม่ช้าด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นจนทำให้ราคา ที่วิ่งต่อไปมีลักษณะเป็นกลุ่ม จนมีลักษณะเหมือน เกาะกลางทะเล หรือที่เรียกว่า Island reversal ดังนั้นเมื่อเจอ Gap แบบนี้ก็ควรจะเตรียมตัวออกจากออเดอร์ และ เมื่อมีการคอนเฟิร์ม ก็เข้าออเดอร์ในทิศทางใหม่ตามไป ในการพิจารณา Gap ประเภทนี้เราควรพิจารณา Oscillators ต่างๆ ดูการ Overbought  หรือ Oversold ประกอบด้วย เพื่อให้มั่นใจมากขึ้น เพราะExhaustion Gap มักเกิดในช่วงที่ราคาเป็น  Overbought  หรือ Oversold หรืออาจเกิด Divergence ร่วมด้วย


Island Reversal  คือรูปแบบการกลับตัวของราคา โดยมี Gap 2 ชนิดรวมอยู่คือ ครั้งแรกจะเกิด Exhaustion Gap ก่อน อนื่องจากทิศทางเดิมนั้นอ่อนแรงลงแล้ว อาจจะมีการเทซื้อ หรือ ขายทิ้งเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้ราคากระโดดไปจนเกิด ช่องว่างของราคาขขึ้น แล้วหลังจากนั้น ก็จะมีการซื้อขายที่หนาแน่นกลับเข้ามา ทำให้ราคาเกาะตัวกันเป็นกลุ่ม และสุดท้าย เกิด Breakaway Gap ขึ้นมาในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับแนวโน้มเดิม ทำให้เราเห็นลักษณะราคา เหมือนเป็น เกาะกลางทะเล จึงเรียกกันว่า Island Reversal

 
 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,479.0.html

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การติดตั้งโปรแกรมเทรด MetaTrader (MT4) - การ Logain เข้าโปรแกรมซื้อ ขาย

การติดตั้งโปรแกรมเทรด MetaTrader - EXNESS

ดาวน์โหลด MetaTrader 4 https://www.exness.com/download/mt4setup.exe

1. ดาวน์โหลดโปรแกรม คลิกที่ Run


2. รอการดาวน์โหลดสักครู่


3. คลิก Next เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรม


4. ติ๊กยอมรับข้อกำหนดของโปรแกรม แล้วคลิก Next


5. เลือกที่อยู่ในการลงโปรแกรม คลิก Next ได้เลยครับ ไม่ต้องเปลี่ยน


6. คลิก Next


7. คลิก Next


8. รอโปรแกรมกำลังติดตั้งสักครู่


9. คลิก Finish เพื่อเสร็จสิ้นการลงโปรแกรมสำเร็จ


10. จะมี Icon ขึ้นที่หน้า Desktop



การ Login เข้าโปรแกรมซื้อ ขาย MetaTrader 4 - EXNESS
1. ดับเบิ้ลคลิกที่ Icon บนหน้า Desktop


2. ใส่เลขบัญชีเทรด รหัสผ่าน คลิด Login เท่านั้นก็เรียบร้อยครับ





ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://siammetatrader.com/