แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Bid แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Bid แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

lot คือ อะไร?

lot คือ อะไร?

ฟอร์เร็ก ซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน

เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง

USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด

ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย

EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด

GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.

โบ รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่


แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้

ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip

เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว

เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,551.0.html

ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร

ทำเงินจากฟอร์เร็กซ์ ได้อย่างไร

ใน ตลาด เราจะซื้อหรือขายค่าเงิน การทำการเทรดในตลาดค่าเงินนั้นง่าย วิธีการเทรดก็เหมือนกับตลาดอื่นๆ (เช่น ตลาดหุ้น) ดังนั้นถ้าเรา มีประสบการณ์ ในการเทรดตลาดอื่นมาก่อน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น

วัตถุ ประสงค์ของการเทรดฟอร์เร็กซ์ เพื่อที่จะทำการแลกเปลี่ยนค่าเงิน เพราะคาดหวังว่า ราคาจะเปลี่ยนแปลงไป ในทิศทางที่คาดหวัง ดังนั้น ค่าเงินที่เราซื้อ จะมีการเปลี่ยนแปลงมูลค่า เมื่อเราขาย

ตัวอย่างของการทำกำไรจากค่าเงิน

                         สิ่งที่นักเทรด ทำ                                                          EUR                     USD
      เรา Buy EUR / USD ที่ราคา 1.18 มูลค่า 10,000 ยูโร                        +10,000                 -11,800*
สองสัปดาห์ต่อมา เราแลกเงินยูโรกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ที่ราคา 1.2500           -10,000                  +12,500**
                       เราได้กำไร $700                                                             0                       +700

*EUR 10,000x1.18=US$11,800 **EUR 10,000x1.25=US $12,500

อัตรา แลกเปลี่ยนเป็นค่าอัตราส่วน ของค่าเงินหนึ่งต่อค่าเงินหนึ่ง เช่น USD/CHF อัตราส่วนจะบอกว่า จำนวนเงิน ดอลล่าร์กี่เหรียญ จึงจะสามารถซื้อได้ 1 สวิสฟรังค์ หรือ สวิสฟรังค์จำนวนเท่าไร ที่เราจะต้องใช้ในการซื้อเงิน 1 ดอลล่าร์

วิธีอ่าน FX Quote
ค่าเงิน จะวางเป็นคู่ ๆ เสมอ เช่น GBP/USD หรือ USD/JPY เหตุผลที่ค่าเงินถูกกำหนดเป็นคู่ๆ เพราะในตลาดการเงิน เราจะทำการซื้อค่าเงินหนึ่ง ด้วยการขายอีกค่าเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างต่อไป เป็นอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ปอนด์อังกฤษ กับเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ

GBP/USD = 1.7500
ค่าเงินตัวแรก ( ก่อนเครื่องหมาย / ) เรียกว่า Base Currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินปอนด์ GBP)
ค่าเงินตัวที่สอง ( ทางขวาของ / )เรียกว่า Quote currency (ในตัวอย่างนี้คือค่าเงินดอลล่าร์ USD)

เมื่อ เราซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องจ่ายเท่าไหร่เป็นจำนวนเงิน Quote currency เพื่อที่จะซื้อ 1 หน่วย ของ Base Currency ตามตัวอย่างข้างต้น เราต้องจ่าย 1.7500 ดอลล่าร์ สหรัฐฯ เพื่อจะซื้อเงินปอนด์ 1 ปอนด์

เมื่อเราขาย อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่า เราต้องได้ Quote currency กี่หน่วยในการขาย 1 หน่วยของ Base Currency

ในตัวอย่างข้างต้น เราจะได้เงิน 1.7500 ดอลล่าร์ เมื่อคุณขายเงินปอนด์ 1 ปอนด์

Base Currency เป็นเกณฑ์ ในการซื้อขาย ถ้าเราซื้อ EUR/USD หมายถึงว่าเรากำลังซื้อ Base Currency และเราก็ขาย Quote currency

เรา จะซื้อคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะแพงขึ้นถ้าเทียบกับ Quote currencyเราจะขายคู่เงิน ถ้าเราคิดว่าค่าเงิน ที่เป็น Base Currency จะลงเมื่อเทียบกับค่าเงินที่เป็น Quote currency

Long/Short
อันดับแรก สิ่งที่ต้องทำคือ เราต้องตัดสินใจว่า ต้องการซื้อ หรือขาย

ถ้า ต้องการซื้อ (หมายถึง ซื้อ Base Currency หรือขาย Quote currency) หากต้องการให้ค่าเงินที่เป็น Base Currency มีมูลค่ามากขึ้น ก็ต้องขายมัน ที่ราคาสูงกว่าที่เราซื้อ และสำหรับนักเทรด เรียกว่า Long หรือ Long position ซึ่งก็เท่ากับ Buy นั่นเอง

ถ้าต้องการขาย (หมายถึง ขาย Base Currency หรือซื้อ Quote currency) หากต้องการซื้อค่าเงิน ที่เป็น Base Currency คืนในราคาที่ต่ำกว่า การทำแบบนี้ เรียกว่า การ Short position หรือ Short ก็คือการ Sell นั่นเอง

 Bid/Ask Spread
ทุก ๆ คู่เงิน มีราคา อยู่สองราคา คือ ราคา bid และ ราคา Ask ราคา Bid จะต่ำกว่า ราคา Ask เสมอ
Bid เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะซื้อราคา Base Currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน Quote currency ซึ่งหมายถึง นั่นหมายถึงนักเทรดจะขาย หรือ sell ได้

Ask เป็นราคา ซึ่งโบรคเกอร์จะขายราคา base currency เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับค่าเงิน quote currency ซึ่งหมายถึง Ask เป็นราคาที่เราจะซื้อ หรือ buy ได้นั่นเอง

ความแตกต่างระหว่าง Bid กับ Ask เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Spread (สเปรด)
ลองดูที่ตัวอย่างของราคา ที่ปรากฎอยู่ในหน้าจอโปรแกรมเทรด

forex,eur,usd
นี่ คือ คู่เงิน GBP/USD ราคา Bid 1.7445 และราคา ask เท่ากับ 1.7449 นี่เป็นสิ่งที่โบรคเกอร์มี เพื่ออำนวยความ สะดวก ให้เรา ถ้าเราต้องการ sell GBP ก็เพียงคลิก "Sell" ที่ราคา 1.7445 ถ้าต้องการซื้อ GBP คุณก็คลิก " Buy" จะได้ราคาที่ 1.7449
ตามตัวอย่าง
เราใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน ในการช่วยตัดสินใจว่า จะซื้อหรือขายคู่เงินนั้นๆ ยังมีข้อมูลให้ต้องศึกษาต่อไป สำหรับ ตอนนี้ แค่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นก่อนก็พอ

EUR/USD
ถ้าคุณเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นข่าวร้ายอย่างหนึ่งสำหรับค่าเงินดอลล่าร์ คุณก็จะต้อง ส่ง คำสั่ง BUY ค่าเงิน EUR/USD หมายความว่า คุณซื้อเงินยูโร ซึ่งคาดว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับ ค่าเงิน ดอลล่าร์ ตามตัวอย่างนี้ เงินยูโรเป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการ ซื้อขายด้วย

ถ้า คุณเชื่อว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ นั้นแข็งแกร่ง และค่าเงินยูโรจะอ่อนแอ เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ คุณต้อง ส่งคำสั่ง Sell EUR/USD นั่นคือ คุณคาดว่าค่าเงินยูโรจะร่วงลงเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/JPY
ตัวอย่างนี้คือ ค่าเงิน ดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้า คุณคิดว่า รัฐบาลญี่ปุ่น จะทำให้ค่าเงินเยน ตกต่ำเพื่อจะกระตุ้นอุตสาหกรรมส่งออก คุณต้องส่งออร์เดอร์ Buy USD/JPY นั่นหมายถึง คุณซื้อเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เพราะคาดว่ามันจะแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินเงินญี่ปุ่น

ถ้าคุณเชื่อว่า นักลงทุนญี่ปุ่น กำลังดึงเงินออกจากตลาดการเงินสหรัฐฯ และแลกเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ทั้งหมดที่เขามี ในมือ กลับมาเป็นเงินเยน ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ได้รับความเสียหาย คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/JPY โดยการทำแบบนี้หมายความว่า คุณคิดว่าค่าเงินสหรัฐฯ มีการอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน

GBP/USD
ตามตัวอย่างนี้ เงินปอนด์เป็น base currency และใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดการซื้อหรือขายคู่เงิน

ถ้า คุณคิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษ จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คุณต้องส่งคำสั่ง BUY GBP/USD นั่นคือคุณต้องการซื้อเงินปอนด์ เพราะคิดว่ามันจะขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

ถ้าคุณคิด ว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะชะงัก ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯอเมริกายังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง คุณก็ต้องส่งคำสั่ง Sell GBP/USD หมายความว่า คุณต้องขายเงินปอนด์เพราะว่าคุณคิดว่า ราคามันจะลดลง เมื่อ เทียบกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

USD/CHF
ตัวอย่างนี้ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น base currency และจะใช้เป็นเกณฑ์ในการซื้อขาย

ถ้า คุณคิดว่า สวิสฯฟรังค์ ราคาเกินมูลค่าจริงกว่าที่เป็น คุณต้องส่งคำสั่ง BUY USD/CHF โดยคุณซื้อเงินดอลล่าร์ เพราะคุณคิดว่าเงินดอลล่าร์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเพื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์ ณ ราคาปัจจุบัน

ถ้าคุณเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯจะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก ซึ่งกระทบกับกับ การเติบโตของ เศรษฐกิจสหรัฐฯในภายภาคหน้า ซึ่งจะทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลง คุณต้องส่งคำสั่ง Sell USD/CHF เพราะว่าคุณ คิดว่า ดอลล่าร์จะลดค่าลงเมื่อเทียบกับสวิสฯฟรังค์จากราคาปัจจุบัน


หากค่าเงินมูลค่า 10,000 ยูโร เราจะเทรดได้ หรือไม่ ?
เทรดได้ เพราะเราสามารถใช้ margin ได้
คำ ว่า Margin หมายถึง การเทรดโดยการยืมเงินจากโบรกเกอร์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้คุณสามารถเปิด position มูลค่า 100,000 เหรียญ หรือ 10,000 เหรียญ โดยเงินเพียง 50 เหรียญ หรือ 1,000 เหรียญ เท่านั้น คุณสามารถถือครอง position ขนาดใหญ่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิด และต้นทุนไม่มากนัก

การเทรดแบบใช้มาร์จิ้น ในตลาดค่าเงินนี้ เราเรียกว่า Lots ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดต่อไป สำหรับ ตอนนี้ ให้คิดแค่ว่า คำว่า lot คือปริมาณค่าเงินอย่างต่ำ ที่คุณสามารถซื้อได้ก็พอ เช่น

เมื่อคุณไปร้านขายของชำและอยากซื้อไข่ คุณไม่สามารถที่จะซื้อไข่เพียงใบเดียวได้ เพราะมันขายเป็นแผง หรือ เราเรียกได้ว่า 1 lot ก็ได้ ในบัญชี Mini 1 lot มูลค่าเท่ากับ 10,000 เหรียญ และในบัญชี standard นั้น มูลค่า 100,000 เหรียญ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณเปิดบัญชีประเภทไหน หรือ โบรกเกอร์ไหน อีกที

ตัวอย่าง
• คุณคิดว่าสัญญาณทางเทคนิคที่คุณใช้บอกว่า ค่าเงินปอนด์จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์
• คุณจะเปิด position 1 lot ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100,000 คุณอยากซื้อเงินปอนด์ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมาร์จิ้น และ รอให้ ค่าเงินมันแข็งค่าขึ้น เมื่อคุณซื้อ GBP/USD 1 ลอท(100,000) ที่ราคา 1.5000 คุณกำลัง Buy 100,000 ปอนด์ซึ่งมีมูลค่า 150,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (เงินปอนด์ 100,000 หน่วย x 1.50(อัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินดอลล่าร์) ถ้ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ เท่ากับ 1 % คุณต้องมีเงิน เท่ากับ 1,500 เหรียญ อย่างน้อยในบัญชีของคุณ(150,000 เหรียญX 1%) ตอนนี้คุณ ถือครอง position เงินปอนด์ มูลค่า 100,000 ปอนด์ ซึ่งใช้เงินเพียงแค่ 1,500 เหรียญ ถ้าค่าเงินมัน ขึ้นไปอย่างที่คุณคิด และคุณอยากจะซื้อ
• คุณจะปิด position ที่ราคา 1.5050 คุณจะได้ 50 pip หรือราว ๆ 500 เหรียญ( Pip (ปิ๊บ) คือ จำนวนน้อยที่สุด ที่ค่าเงินเคลื่อนไหว หรือ 1 จุดนั่นเอง)

                                  การตัดสินใจของคุณ                                                GBP                    USD
    คุณซื้อเงินปอนด์มูลค่า 100,000 ในคู่เงิน GBP/USD ที่ราคา 1.5000            +100,000               -150,000
หลังจากคุณซื้อได้ซักครู่ มันวิ่งไป 50 จุด ที่ราคา 1.5050 คุณเลยอยากจะขาย         -100,000              +150,500**
                             คุณได้กำไร 500 เหรียญ                                                   0                       +500

เมื่อคุณ ตัดสินใจที่จะปิด position กำไรขาดทุนก็จะถูกคำนวณ และมันก็จะเอาไปรวมกับบัญชีของคุณ ที่คุณเปิด เรื่องมาร์จิ้นมีรายละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ คุณคงพอเข้าใจความหมายของมาร์จิ้นบ้างแล้ว

 Rollover

ดอกเบี้ย ค่าเงิน
เรื่อง นี้เกี่ยวกับออร์เดอร์ที่เปิดข้ามคืน จนถึงเวลา "Cut-off time" ปกติประมาณตี 4-5 บ้านเรา จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น ซึ่งนักเทรดจะได้ หรือจะเสีย เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับ จำนวนมาร์จิ้น ที่คุณถืออยู่ในตลาด ถ้าคุณไม่ต้องการ ดอกเบี้ยนี้ คุณก็ต้องปิดคำสั่งของคุณก่อนจะถึงเวลา ตี 4


เมื่อ ทุกๆ การเทรดค่าเงินนั้นเกี่ยวพันกับการยืมเงิน จากค่าเงินค่าหนึ่ง แล้วนำไปซื้อค่าเงินอีกค่าหนึ่ง ดอกเบี้ยนี้ ก็จะ ถูกชาร์จเข้าไปในการเทรดฟอร์เร็กซ์ ดอกเบี้ยจะถูกจ่ายให้กับค่าเงินที่ถูกยืม และได้รับ ดอกเบี้ยจากค่าเงินที่ถูกซื้อ


ถ้าเทรดเดอร์กำลังซื้อค่าเงินค่า เงินหนึ่ง ที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องเสีย ให้กับคนที่เรายืมมา จะทำให้ ดอกเบี้ย มีผลเป็นบวก (ตัวอย่างเช่น USD/JPY) และเทรดเดอร์จะได้เงินค่าดอกเบี้ยส่วนต่าง เข้าบัญชี คุณสามารถ ถามราย ละเอียด ของ Rollover กับโบรคเกอร์ของคุณ และจำไว้ว่า โบรคเกอร์รายย่อยส่วนมาก จะปรับอัตรา Rollover ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน (เช่น Leverage, อัตรากู้ยืมจาก interbank) คุณอาจจะต้องตรวจสอบ ข้อมูลเรื่อง Rollover ให้ละเอียด ทั้งด้านเครดิต และ เดบิต

ถ้าคุณไม่รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยของแต่ละค่า เงิน เท่ากับเท่าไหร่ ภาพนี้จะช่วยให้คุณได้เข้าใจขึ้นบ้าง เป็นภาพของวันที่ 19 เดือน เมษายน ปี 2009

บัญชี Demo
คุณสามารถเปิดบัญชี demo ได้ฟรี แทบจะทุกโบรคเกอร์ ซึ่งบัญชีเดโม จะเหมือนบัญชีจริงทุกอย่าง

ทำไมถึงฟรี?
เพราะ โบรกเกอร์อยากให้คุณใช้โปรแกรมการเทรดของเขาให้คล่อง และถ้าคุณเทรดได้ดี คุณก็จะตกหลุมรัก ฟอร์เร็กซ์ แล้วคุณก็จะอยากฝากเงินจริง บัญชีเดโมจะทำให้คุณเรียนรู้เกี่ยวกับตลาดฟอร์เร็กซ์ได้ง่ายขึ้น และ สามารถทดสอบ ความสามารถ ในการเทรดของคุณได้ โดยที่คุณไม่ต้องเสี่ยง ที่จะเสียเงินเลย

คุณควรจะเทรดบัญชีเดโมอย่างน้อย 3 - 6 เดือน ก่อนที่คุณคิดว่าจะใส่เงินจริงลงไป

ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณควรจะเทรด บัญชีเดโม อย่างน้อย 3 - 6เดือน ก่อนที่คุณคิดจะใส่บัญชีเงินจริงของคุณลงไป
 (ถ้าเป็นไปได้)

"อย่าเสียเงินของคุณ" ให้พูดออกมา
เอามือของคุณมาแนบกับหน้าอก แล้วก็พูดออกมา....

"ฉันจะเล่นบัญชีจริงเป็นเวลา 3 - 6 เดือนก่อนที่จะเทรดเงินจริง"
แล้วเอานิ้วชี้ชี้ไปที่หัวของคุณแล้วบอกว่า...

"ฉันเป็นนักเทรดที่ฉลาดและอดทน"
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,547.0.html

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น
                    ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง  ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
                         ความได้เปรียบ                     Forex       หุ้น
                     เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง            YES          NO
                   ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด            YES          NO
                   สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที          YES          NO
                     สามารถเล่น Short Sell ได้         YES          NO

เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,544.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คุณเล่น forex ได้อย่างไร กำไรหรือขาดทุนมาจากไหน

โดยปกติแล้วท่านเล่น forex ท่านเป็นสกุลเงินเป็นคุ่  แต่ท่านเลือกเล่น EURUSD  ท่านทราบหรือป่าวว่าท่าน ซื้อ EUR  เพื่อต้องการให้ EUR ชนะ USD


สกุล เงินจะแสดงราคาเป็นคู่เสมอ  ทุกรายการเแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  ต้องซื้อสกุลเงินหนึ่ง  และขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน  สกุลเงินตัวแรกที่อยุ่ด้านซ้ายมื่อของเครื่องหมาย ( / )  เรียกว่า Base Currency     เป็นสกุลเงินหลัก   ( GBP/USD )
อีกตัวอยุ่ด้านขวาของ  ( / ) เรียกว่า Counter  หรือ Quot Currency  (คือเงินดอนล่าร์) 

เมื่อ ทำการซื้ออัตราแลกเปลี่ยน  จะบอกว่าจะต้องจ่ายกี่หน่วยของ Quot Currency  เพื่อที่จะซื้อ  Base Currency  ต่อหนึ่งหน่วยจากตัวอย่างด้านบนต้องจ่าย 1.51258  ดอนล่าร์  เพื่อที่จะซื้อ 1 ปอนค์  เมื่อทำการขายอัตราแลกเปลี่ยน  จะบอกว่าจะจ่ายกีหน่วย   ของ Quot Currency   เพื่อทำการขาย   Base Currency   ต่อหนึ่งหน่อย



ช่วงนี้ต้องอ่านหลาย ๆ รอบ นะครับถึงจะเข้าใจ

Bid / Ask  bid ราคาจะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ

Bid คือราคาที่  Dealer   กำลังซื้อ Base Currency  ในการแลกเปลี่ยน สำหรับ  Quot Currency แบบนี้หมายความว่า Bid คือ  ราคาที่คุุณจะขาย  Sell  (  เวลาคุณ  Sell  จะซื้อที่ราคา Bid  ขายที่ราคา Ask )
Ask  คือราคาที่ Dealer   กำลังขาย Base Currency  ในการแลกเปลี่ยน  เพื่อให้ได้ Quot Currency  แบบนี้หมายความว่า Ask คือราคาที่คุณจะซื้อ Buy   ( เวลาคุณ buy จะซื้อที่ราคา Ask ขายที่ราคา Bid ) สำหรับการซื้อหรือขาย  Buy/Sell   ความหมายง่าย ๆ คือ

จะซื้อคู่เงินที่เชื่อว่า  Base Currency  จะมีอัตราราคาเพิ่มขึ้นกว่า  Quot Currency  (BUY)
และจะ Sell  ในคู่ที่คิดว่า  Base Currency จะมีอัตราราคาลดลงกว่า Quot Currency (Sell)

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,134.0.html



ทำกำไรในตลาด forex ได้อย่างไร

ทำกำไรในตลาด forex ได้อย่างไร...??

....ในตลาด forex นั้นเราจะทำการซื้อ คู่เงินนั้นเองโดยคาดหวังว่าราคาเปลี่ยนแปลงไป
หมายความว่า สกุลเงินที่ซื้อมาต้องมีมูลค่าเพิ่มเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินหนึ่งที่ขายไป

ตัวอย่างเช่น

วิธีอ่านค่า FX Quote
ค่าเงินจะวางเป็นคู่ๆเสมอไป เช่น EUR/USD , USD/JPY เป็นต้น
เพราะในตลาดการเงินนี้เราจะทำการซื้อค่าเงินตัวหนึ่งไป ในขณะเดียวกันเราก็ขายค่าเงินหนึ่งออกไป

ค่าตัวหน้าคืออะไร?? ค่าตัวหลังคืออะไร?? เขาอ่านกันว่าอย่างไรหรอ?? .....
ในบทนี้ผมจะมาเผยข้อสงสัยเหล่านี้ครับ

ผมจะยกค่าเงิน EUR/USD = 1.28 มาเป็นตัวอย่างนะครับ
เราจะอ่านค่าเงิน ตัวแรก (ค่าเงิน EUR) ว่า Base currency
เราจะอ่าค่าเงิน ตัวที่สอง (ค่าเงิน USD) ว่า Quote currency

เมื่อเราทำการซื้อ อัตราแลกเปลี่ยนจะบอกเราว่าเราจะต้องจ่าย Quote currency เท่าไหร่
เพื่อที่จะซื้อ Base currency 1 หน่วย
( EUR/USD = 1.28 ตามตัวอย่างข้างบน อัตราแลกเปลี่ยนคือ 1.28 )

เราจะเข้าซื้อเมื่อเราคาดว่า Base currency จะแพงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ  Quote currency
เราจะขายเมื่อเราคาดว่า Base currency จะถูกลง เมื่อเปรียบเทียบกับ Quote currency

** หลักของตลาดเงินคือ สมุติว่าเรากำลังเข้าซื้อ Base currency  แสดงว่าในขณะเดียวกัน เรากำลังทำการขาย Quote currency

Long/Shot

จำไว้นะครับว่า Long = Buy , Shot = Sell
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือว่า...
Long คือการทำกำไรขาขึ้น
Shot คือการทำกำไรขาลง

Bid/Ask spread

ทุกค่าเงินจะมีค่า Bid และ Ask
Bid คือ ราคาที่คุณจะขาย ( Sell )
Ask คือ ราคาที่คุณจะซื้อ ( Buy )
จงจำไว้ว่า Bid จะต่ำกว่า Ask เสมอ
ส่วนคำว่า Spread  คือ ส่วนต่างระหว่าง Bid กับ Ask

 
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,115.0.html

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex

โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?

อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้

ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด

บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว

โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,53.0.html