คำศัพท์ประจำวงการ forex
รู้จักศัพท์ ที่ใช้ใน ฟอร์เร็กซ์
หลัง
จากได้เรียนทักษะใหม่ ๆ ก็ควรต้องเรียนศัพท์ ที่ใช้ในวงการฟอร์เร็กซ์ด้วยม
รู้จัก ส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะ เริ่มเทรด บางคำนี้ อาจจะรู้อยู่แล้ว
ไม่้เป็นการเสียหลาย ในการทบทวนสิ่งที่รู้มา
ค่าเงินหลัก ค่าเงินรอง
ค่าเงินหลัก ที่มีการเทรดมากที่สุด (USD, EUR, JPY, GBP, CHF, CAD, NZD, AUD) เรียกว่า major currencies
ค่า
เงินอื่น ๆ เรียกว่า minor currencies ไม่ต้องสนใจ minor currencies มาก
ส่วนใหญ่จะเฉพาะคนที่เล่นมานาน แล้วเท่านั้น ในที่นี้ส่วนใหญ่ จะพูดถึง Fab
Five (USD, EUR, JPY, GBP, CHF) ค่าเงินเหล่านี้ มีสภาพคล่องสูง
และน่าดึงดูดให้เทรดมากที่สุด
Base Currency
base
currency คือ ค่าเงินตัวแรก หรือตัวหน้าของคู่เงินแต่ละคู่
แสดงมูลค่าเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับ second currency ตัวอย่างเช่น ถ้า
USD/CHF เรท เท่ากับ 1.6350 หมายความว่า 1 ดอลล่าร์ มีมูลค่าเท่ากับ 1.6350
สวิสฟรังค์ ในตลาดฟอร์เร็กซ์ดอลล่าร์ส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็น ค่าเงินพื้นฐาน
(base currency) ในการคำนวณ คือ เราใช้เงิน 1 USD
เทียบกับค่าเงินอื่นในคู่อื่น ๆ นั้น แต่ยกเว้นค่าเงินเหล่านี้ เงินปอนด์
เงินยูโร เงินดอลล่าร์ออส เตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะใช้ค่าเงินตัวเองเป็น
ค่าเงินพื้นฐานในการคำนวณ
Quote Currency
quote
currency หรือค่าเงินอ้างอิง เป็นค่าเงินตัวที่สองของคู่เงิน
ที่มีในตลาดฟอร์เร็กซ์ ซึ่งบางครั้งอาจจะ เรียกว่า pip currency
และกำไรที่เรายังไม่รับรู้ (คือยังไม่ได้ปิด position)
ก็จะถูกอธิบายมาเป็นค่าเงินนี้
Pip
pip
คือหน่วย ที่เล็กที่สุดของราคาในแต่ละค่าเงิน
แทบทุกค่าเงินจะมีทศนิยมอยู่ข้างหลังตัวเลขอยู่เสมอ ตัวอย่าง EUR/USD
อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.2538. ในที่นี้ 1 pip
เป็นการเปลี่ยนแปลงในสี่จุดทศนิยม นั่นก็คือ 0.0001 ดังนั้น
ถ้าค่าเงินอ้างอิงในคู่เงินใด ๆ คือ USD 1 จะเท่ากับ 1/100 ของ 1 cent.
USD/JPY มีข้อยกเว้น เพราะว่า 1 pip = $0.01.
Bid Price
Bid
เป็นราคาตลาด ที่ใช้ในการซื้อค่าเงินในตลาดฟอร์เร็กซ์ ณ ราคานี้
เทรดเดอร์ใช้ในการ sell base currency.
จะแสดงอยู่ทางด้านซ้ายของราคาค่าเงิน ตัวอย่าง ในคู่ GBP/USD 1.8812/15,
bid Price คือ 1.8812. หมายถึง เรา sell 1 ปอนด์ แล้วเราจะได้เงิน 1.8812
ดอลล่าร์
Ask Price
Ask
เป็นราคาที่ใช้ในการขายค่าเงินใด ๆ ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ที่ราคานี้ เทรดเดอร์
จะ buy base currency และ อยู่ด้านขวา ของราคาค่าเงิน ตัวอย่าง EUR/USD
1.2812/15 ask price คือ 1.2815 หมายถึง เราสามารถ buy 1 ยูโร โดยใช้เงิน
1.2815 ดอลล่าร์ และราคานี้เรียกว่า offer price.
Bid/Ask Spread
Spread
เป็นความแตกต่างระหว่างราคา bid กับ ask "big figure quote"
เป็นคำพูดที่โบรคเกอร์ใช้ในการอธิบาย ค่าเงิน ที่มีทศนิยมน้อย
โบรคเกอร์จะไม่พูดตัวเลขค่าเงินหลักข้างหน้า ตัวอย่างเช่น USD/JPY
มีอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 118.30/118.34 แต่ว่าพวกเขาจะเรียกสั้น ๆ ว่า
30/34
ที่มาของอัตราแลกเปลี่ยน
อัตราเปลี่ยนในตลาดฟอร์เร็กซ์ อธิบายได้ง่าย ๆ ดังนี้ Base currency / Quote currency , Bid / Ask
Transaction Cost
ค่า
bid/ask หรือ spread นั้นก็คือ transaction cost
เป็นค่าใช้จ่ายในการเทรดต่อครั้งนั่นเอง หนึ่งรอบ จึง หมายถึง การซื้อ
(หรือขาย) และการปิดบัญชีที่เราซื้อ(หรือขาย) ในขนาดของออร์เดอร์ที่เท่ากัน
และค่าเงิน เดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ EUR/USD
อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1.2812/15, transaction cost เท่ากับ 3 จุดนั่นเอง
สูตรในการคำนวณ Transaction Cost คือ Transaction cost = Ask Price – Bid
Price
Cross Currency
cross currency
คือคู่เงินใด ๆ ที่ไม่มีค่าเงินดอลล่าร์อยู่ในคู่เงินนั้น ๆ
ซึ่งคู่เหล่านี้จะเอาแน่เอานอนไม่ได้ (ผันผวน)
เพราะต้องใช้คู่เงินที่มีดอลล่าร์สองคู่มาเทียบข้ามคู่กัน ตัวอย่าง ในการ
buy EUR/GBP หมายความว่า เรากำลัง buy คู่ EUR/USD และกำลัง sell คู่
GBP/USD อยู่ การเล่นคู่ที่เป็น Cross currency จะทำให้มีค่า transaction
cost สูงขึ้นด้วย
Margin
เมื่อเปิดบัญชีแบบ
มาร์จิ้นใหม่กับฟอร์เร็กซ์โบรคเกอร์ เราต้องฝากเงินไว้กับโบรคเกอร์ด้วย
ซึ่งก็จะมีขั้นต่ำ แล้วแต่ว่า โบรคเกอร์จะให้ฝากเท่าไหร่
บางโบรคเกอร์อาจจะให้ฝากแค่ 100 เหรียญ และบางโบรคเกอร์อาจจะให้ฝากถึง
100,000 เหรียญ (บางโบรคเกอร์ มีเงินจริงเล็กน้อย ให้เล่นในบัญชี
ซึ่งจะถูกหักกลับเมื่อจะมีการโอนออกครั้งแรก) ในแต่ละครั้ง ที่คุณเทรด
จะคิดเเป็นเปอร์เซ็นต์ของของเงินทั้งหมดของบัญชีมาร์จิ้น จะเรียกว่า
initial margin requirement ซึ่งขึ้นอยู่กับค่าเงินและราคา
รวมทั้งขนาดของลอทของคู่เงินนั้น ๆ ที่เราเทรด ซึ่งขนาดของลอทคือ ขนาดของ
base currency. ตัวอย่าง หากเราเปิดบัญชี mini ซึ่งสามารถใช้ Leverage
ได้ที่ 200:1 หรือ 0.5 % ของมาร์จิ้น บัญชีแบบ Mini สามารถเทรด mini lot
ได้ ถ้าให้ 1 mini lot เท่ากับ 10,000 เหรียญ เราจะต้องใช้ มาจิ้นเท่ากับ
50 เหรียญ ($10,000 x 0.5% = $50).
Leverage
Leverage
คือ อัตราส่วนของทุนที่ใช้เป็นต้นทุนในการส่งออร์เดอร์
ซึ่งจะต้องใช้มาร์จิ้น Leverage เป็นสิ่งที่สามารถ
ใช้เงินจำนวนหนึ่งในการถือครอง Position ที่ใหญ่กว่าจำนวนเงินทุนของเรา
Leverage จะแตกต่างกันไป ตามแต่ละ โบรคเกอร์ ซึ่งอาจจะเริ่มตั้งแต่ 2:1
ไปจนถึง 400:1
Margin + Leverage = ความสามารถในการพิฆาตบัญชีของคุณในพริบตา
การ
เทรดค่าเงินที่ใช้มาร์จิ้นนี้ เราสามารถเพิ่มพลังในการซื้อได้
คือถ้าเรามีเงินอยู่ 5,000 เหรียญ ในบัญชีมาร์จิ้น และใช้อัตรา leverage
ที่ 1:100 ก็จะสามารถซื้อค่าเงินได้มูลค่าถึง 500,000 เหรียญ
เพราะเราแค่ใช้มาร์จิ้นแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่จะซื้อได้
หรือเรียกอีกอย่างนึงว่า เรามีกำลังซื้อถึง 500,000 เหรียญ
ด้วยกำลังซื้อที่สูงนี้ สามารถให้ผลตอบแทนต่อส่วนทุนมีสูงขึ้น
แต่ก็ต้องระวังไว้เช่นกัน เพราะการใช้มาร์จิ้น ทำให้มี โอกาส ได้กำไรสูง
และขาดทุนสูงเท่า ๆ กัน
Margin Call
เทรด
เดอร์ส่วนใหญ่จะกลัวกับคำว่า margin call
เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อโบรคเกอร์ บอกว่า ตอนนี้ มาร์จิ้นของคุณ
น้อยกว่าเกณฑ์ที่ต้องใช้ในการถือครอง position เพราะ ค่าเงินนั้น
เคลื่อนไหวในทางตรงข้ามกับ Position ที่ถืออยู่
ขณะที่กำลังเทรดโดยใช้มาร์จิ้นนั้น เราอาจจะมีกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้
แต่ว่ามันสำคัญที่ต้องเข้าใจความเสี่ยงด้วย ต้องเข้าใจ
เกี่ยวกับบัญชีมาร์จิ้นอย่างละเอียด และต้องอ่านข้อตกลง
ตอนเปิดบัญชีระหว่างเรากับโบรคเกอร์ อย่างถี่ ถ้วน ให้ถามโบรคเกอร์
ถ้าไม่เข้าใจข้อตกลงข้อไหน Position จะต้องถูกปิด
แต่ราคามันอาจจะวิ่งไปต่ำกว่า มาร์จิ้น ที่มีในบัญชี
เมื่อราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดังนั้น คุณอาจจะไม่ได้รับการเตือน
margin call เพราะ ออร์เดอร์ของคุณจะโดนปิดไปซะก่อน(เรื่องที่ไม่คาดฝัน)
Margin calls สามารถเลี่ยงได้โดยการดูหน้าจอเทรด ให้บ่อยขึ้น หรือ
โดยการใช้ stop-loss order เพื่อจำกัดความเสี่ยง
หมายเหตุผู้แปล :
margin
call ตามความรู้ของผู้แปลคือ
การที่บัญชีถึงจุดต่ำกว่ามาร์จิ้นที่ต้องใช้ในการถือครอง position ปกติ
จะใช้ใน ตลาด future ซึ่งถ้ายอดขาดทุนต่ำกว่า
ทางโบรคเกอร์จะเรียกให้ฝากมาร์จิ้นเพิ่ม ไม่เช่นนั้น โบรคเกอร์ ก็จะปิด
position ของเราเพื่อมิให้เกิดการขาดทุนกับโบรคเกอร์
เพราะตลาดฟิวเจอร์มีการใช้ Leverage เหมือนกับ ตลาดค่าเงิน แต่อาจจะ
ต่ำกว่ามาก
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,554.0.html
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ PIP แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ PIP แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558
คำศัพท์ประจำวงการ forex
ป้ายกำกับ:
การทบทวน,
ทักษะใหม่ ๆ,
Base Currency,
Bid Price,
forex,
major currencies,
minor currencies,
PIP,
quote currency
lot คือ อะไร?
lot คือ อะไร?
ฟอร์เร็ก ซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน
เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง
USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด
ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย
EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด
GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.
โบ รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่
แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้
ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip
เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว
เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,551.0.html
ฟอร์เร็ก ซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน
เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง
USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด
ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย
EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด
GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.
โบ รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่
แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้
ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip
เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว
เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,551.0.html
pip คือ อะไร?
pip คือ อะไร?
การเพิ่มขึ้น หรือลดลง ของค่าเงิน เรียกว่า pip
ถ้า EUR/USD เคลื่อนไหวจากราคา 1.2250 ไปที่ราคา 1.2251 เรียกว่า 1 pip ซึ่ง 1 Pip คือ ตัวเลขทศนิยมตัว สุดท้ายของค่าเงิน จากตัวทศนิยมสี่ตัว (ซึ่งบางครั้งก็ก็อาจจะมีถึงห้าจุด ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวน pip เหมือนกัน) ซึ่งเราสามารถใช้ Pip ในการประมาณผลกำไรขาดทุนได้ แต่ละค่าเงิน มีมูลค่าที่แตกต่างกัน เราจำเป็นต้องคำนวณ มูลค่าของเงิน ต่อความเคลื่อนไหว ต่อ pip ก่อน ในค่าเงิน ที่ที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหน้า จะถูกคิดดังนี้
สมมุติเป็น คู่เงิน USD/JPY มีอัตราแลกเปลี่ยนอยูที่ 119.80
(สังเกตุว่าค่าเงินดังกล่าว จะมีแค่สองจุดทศนิยม ซึ่งค่าเงินส่วนใหญ่จะมีสี่)
ในกรณีของ USD/JPY เคลื่อนไหว 1 จุดจะเท่ากับ .01 ดังนั้น
USD/JPY: 119.80
.01 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.01/119.80 = 0.0000834
ซึ่งออกจะยาวไปหน่อย แต่เดี๋ยวเราจะเริ่มคำนวณ ขนาดของ lot กัน
USD/CHF: 1.5250
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.5250 = 0.0000655
USD/CAD: 1.4890
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.4890 = 0.00006715
ในกรณีที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การหาค่า จะมีวิธีการเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ดังนี้
EUR/USD: 1.2200
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.2200 = EUR 0.00008196
แต่ว่าเราต้องคิดกลับไปเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีซึ่งก็คือ EUR x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.00008196 x 1.2200 = 0.00009999
เมื่อเราปัดเศษ ก็จะได้ 0.0001
GBP/USD: 1.7975
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.7975 = GBP 0.0000556
แต่เราต้องกลับไปคิดเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีหนึ่งซื่งเท่ากับ GBP x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.0000556 x 1.7975 = 0.0000998
ถ้าเราปัศเศษทศนิยมก็จะได้ 0.0001
บาง ทีตอนนี้คุณกำลังอาจจะคิดอยู่ก็ได้ว่า ตกลงแล้วเราต้องคิดทั้งหมดทุกคู่ตลอดเลยรึเปล่า คำตอบคือ ไม่ เกือบทุกโบรคเกอร์จะมีรายละเอียดนี้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มันก็ดีที่คุณจะรู้ว่ค่าเหล่านี้ามาจากไหน จะบอกว่าเรื่องนี้ มีประโยชน์ยังไง ในบทต่อ ๆ ไป
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,550.0.html
การเพิ่มขึ้น หรือลดลง ของค่าเงิน เรียกว่า pip
ถ้า EUR/USD เคลื่อนไหวจากราคา 1.2250 ไปที่ราคา 1.2251 เรียกว่า 1 pip ซึ่ง 1 Pip คือ ตัวเลขทศนิยมตัว สุดท้ายของค่าเงิน จากตัวทศนิยมสี่ตัว (ซึ่งบางครั้งก็ก็อาจจะมีถึงห้าจุด ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวน pip เหมือนกัน) ซึ่งเราสามารถใช้ Pip ในการประมาณผลกำไรขาดทุนได้ แต่ละค่าเงิน มีมูลค่าที่แตกต่างกัน เราจำเป็นต้องคำนวณ มูลค่าของเงิน ต่อความเคลื่อนไหว ต่อ pip ก่อน ในค่าเงิน ที่ที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหน้า จะถูกคิดดังนี้
สมมุติเป็น คู่เงิน USD/JPY มีอัตราแลกเปลี่ยนอยูที่ 119.80
(สังเกตุว่าค่าเงินดังกล่าว จะมีแค่สองจุดทศนิยม ซึ่งค่าเงินส่วนใหญ่จะมีสี่)
ในกรณีของ USD/JPY เคลื่อนไหว 1 จุดจะเท่ากับ .01 ดังนั้น
USD/JPY: 119.80
.01 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.01/119.80 = 0.0000834
ซึ่งออกจะยาวไปหน่อย แต่เดี๋ยวเราจะเริ่มคำนวณ ขนาดของ lot กัน
USD/CHF: 1.5250
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.5250 = 0.0000655
USD/CAD: 1.4890
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
.0001 / 1.4890 = 0.00006715
ในกรณีที่ค่าเงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การหาค่า จะมีวิธีการเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ดังนี้
EUR/USD: 1.2200
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.2200 = EUR 0.00008196
แต่ว่าเราต้องคิดกลับไปเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีซึ่งก็คือ EUR x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.00008196 x 1.2200 = 0.00009999
เมื่อเราปัดเศษ ก็จะได้ 0.0001
GBP/USD: 1.7975
.0001 แบ่งตามอัตราแลกเปลี่ยน = pip value
ดังนั้น
.0001 / 1.7975 = GBP 0.0000556
แต่เราต้องกลับไปคิดเป็นค่าเงินดอลล่าร์อีกทีหนึ่งซื่งเท่ากับ GBP x อัตราแลกเปลี่ยน
ดังนั้น
0.0000556 x 1.7975 = 0.0000998
ถ้าเราปัศเศษทศนิยมก็จะได้ 0.0001
บาง ทีตอนนี้คุณกำลังอาจจะคิดอยู่ก็ได้ว่า ตกลงแล้วเราต้องคิดทั้งหมดทุกคู่ตลอดเลยรึเปล่า คำตอบคือ ไม่ เกือบทุกโบรคเกอร์จะมีรายละเอียดนี้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มันก็ดีที่คุณจะรู้ว่ค่าเหล่านี้ามาจากไหน จะบอกว่าเรื่องนี้ มีประโยชน์ยังไง ในบทต่อ ๆ ไป
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,550.0.html
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558
รูปแบบราคา Harmonic
คุณ มีรูปแบบกราฟพื้นฐาน ในกล่องเครื่องมือ มาก พอสมควร ตอนนึ้ถึงเวลาที่จะเดินก้าวต่อไป และ หาเครื่องมือที่รุดหน้ากว่า เพื่อใช้ในการเทรด
ในบทนี้ จะเน้นไปที่รูปแบบพฤติกรรมราคาแบบฮาร์โมนิค ซึ่งอาจจะยากในการทำความเข้าใจ แต่เมื่อจับแนวทางถูก มันก็จะทำให้ คุณได้กำไร อย่างง่ายดาย ได้เหมือนกัน !
ประเด็นของการเล่นแบบนี้ ก็คือ ช่วยให้ระบุระดับต่าง ๆ ของเทรนด์ปัจจุบันได้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราจะใช้เครื่องมือ อื่น ๆ ทีเรารู้มาด้วย ในบทนี้ เช่น แนวเส้นต่าง ๆ ของ Fibonacci และ Fibonacci extension! ถ้าเราเอามา ประยุกต์กับเครื่องมือเหล่านี้ ในการบอกรูปแบบราคา แบบ Harmonic ก็จะสามารถบอกได้ว่า บริเวณไหน ที่จะเป็นจุดที่เทรนด์จะหยุด หรือจะไปต่อ
ในบทเรียนนี้ เราจะพูดถึงเรื่อง รูปแบบราคาแบบฮาร์โมนิค ดังนี้ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)
เมื่อ คุณเข้าใจแนวทางของมันแล้ว จะง่ายกว่าที่คิด เหมือนกับเลข 1-2-3 เราจะเริ่มจาก รูปแบบพื้น ๆ แบบ ABCD และรูปแบบ three-drive ก่อนที่เราจะไปที่รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ หลังจากที่ได้เรียนรู้ และเข้าใจ แล้ว เราจะศึกษาไปยังสิ่งที่คุณจะต้องใช้ กับรูปแบบเหล่านี้ ในการเทรด อย่างประสบ ความสำเร็จ สำหรับรูปแบบ ฮาร์โมนิคเหล่านี้ ประเด็นก็คือ ให้รอจนกว่าจะมีรูปแบบเกิดขึ้นก่อนที่คุณจะเทรด ไม่ว่าจะเป็นออร์เดอร์ Buy หรือ Sell แล้วคุณก็จะเข้าใจเอง ในสิ่งที่เรากำลังจะอธิบายให้คุณรู้ต่อไปนี้
รูปแบบ ABCD และ รูปแบบ Three-Drive.
เริ่ม บทนี้ด้วยรูปแบบราคา ฮาร์โมนิค ที่ง่ายที่สุดก่อน รูปแบบกราฟแบบ ABCD ในการจะกำหนดรูปแบบกราฟแบบนี้ ในโปรแกรม คุณจะต้องใช้สายตา และเครื่องมือ Fibonacci ทั้งกราฟรูปแบบกระทิง และรูปแบบหมี ในเวอร์ชั่นของ ABCD เส้น AB และเส้น CD จะถูกเรียกว่าขา ในขณะที่ เส้น BC จะเป็น Correction หรือ เส้นแนวรับ ถ้าคุณใช้ Fibonacci ที่ขาของเส้น AB เส้น BC ก็จะอยู่ที่ระดับ 0.618 และเส้น CD ก็จะอยู่ที่ระดับ 1.272 ใน Fibonacci extension ของเส้น BC
สิ่งที่ต้องทำคือ รอให้รูปแบบเหล่านี้เกิดขึ้นเสร็จแล้ว (ให้ถึงจุด D) ก่อนที่จะส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell
คุณต้องการความแม่นยำกับมัน มีกฏให้ใช้กับรูปแบบ ABCD
- ความยาวของเส้น AB ควรจะเท่ากับ ความยาวของเส้น CD
- เวลาที่ทำให้ราคา เคลื่อนไปจากจุด A ถึงจุด B ควรจะเท่ากับเวลาที่มันเคลื่อนจากจุด C ถึงจุด D
รูป แบบ Three-drive เหมือนกับรูปแบบ ABCD ยกเว้นมันมีสามขา (ซึ่งเราเรียกว่า Drive) และมีเส้น Correction หรือ แนวรับ จริง ๆ แล้ว รูปแบบ Three drive เป็นต้นกาเนิดของ Elliott Wave คุณจำเป็นต้องมีสายตา แหลมคม เครื่องมือ Fibonacci เป็นกุญแจในการถอดรหัสรูปแบบนี้
ตาม ที่เห็นจากกราฟข้างบน จุด A ควรจะเป็นระดับ Fibonacci ที่ 61.8% ของ Drive 1 และ จุด B ควรจะเป็น ระดับ 0.618 ของ drive 2. และ Drive 2 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของ Correction A และ Drive 3 ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 extension Fibonnacci ของ correction B
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อรูปแบบ Three-drive เกิดขึ้นแล้ว คุณสามารถส่งออร์เดอร์ของคุณได้ทั้งออร์เดอร์ Buy และ ออร์เดอร์ Sell ซึ่งเมื่อราคาถึงจุด B คุณสามารถส่งออร์เดอร์ Buy หรือ Sell ที่ระดับ 1.272 extension ซึ่งคุณไม่ควรจะพลาด!
แต่ก่อนอื่น เราควรตรวจดูว่า ตรงตามกฏเหล่านี้หรือไม่:
- เวลาที่ไปจนถึงจุดสิ้นสุด ของ Drive 2 ควรจะเท่ากับ เวลาที่จบ Drive 3
- เวลาที่ไปถึงจุดสิ้นสุดของเส้นแนวรับ A ควรจะเท่ากับ จุดแนวรับ B
หมายเหตุ : คนที่ไม่เข้าใจว่า Extension คืออะไร ให้ไปดูเรื่อง Fibonnacci extension
รูปแบบ Gartley และ รูปแบบสัตว์ต่าง ๆ
มี นักเทรดอัจฉริยะคนหนึ่ง ชื่อว่า Harold McKinley Gartley เขาเป็นผู้บริการให้คำปรึกษาในการลงทุน ในตลาด หลักทรัพย์ ในช่วงกลางของยุค 1930 และมีลูกค้ามากมาย ซึ่งบริการของเขาเป็นการรวมเอาวิทยาศาสตร์ และ วิธีการทางสถิติ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาตลาดหุ้น
ในที่สุด Gartley ก็สามารถแก้ปัญหาใหญ่ ๆ สองอย่างของนักเทรดได้ คือ ควรจะซื้ออะไร และเมื่อไหร่ ในไม่ช้า นักเทรดก็เข้าใจว่า รูปแบบนี้ก็สามารถประยุกต์ใช้กับตลาดอื่น ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งหนังสือ โปรแกรมเทรด หรือ รูปแบบ การเทรดต่าง ๆ ก็อ้างทฤษฎี จากทฤษฎีของเขา
รูป แบบ Gartley "222" เป็นชื่อของเลขหน้า ที่พบในหนังสือของ Gartley ชื่อ Profits in the Stock Market. รูปแบบ Gartleys เป็นรูปแบบซึ่งรวมไปด้วยรูปแบบพื้นฐาน อย่าง ABCD ที่เราพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว และ ให้ความสำคัญ ของจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดของราคา
รูป แบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดรูปแบบ Correction ของเทรนด์ ซึ่งจะมีรูปร่างคล้าย ตัว M หรือตัว W ในภาวะตลาดหมี รูปแบบนี้ช่วยให้นักเทรด หาจุดเข้าที่ดี ในการเข้าเทรดในเทรนด์ต่าง ๆ ได้ดี
รูป แบบ Gartley จะเกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมราคา ในเทรนด์ขาขึ้น หรือขาลง แต่ ต้องมีรูปแบบสัญญาณ Correction ก่อน แล้วสิ่งที่ทำให้รูปแบบ Gartley ทำให้มันทำงานได้ดี เมื่อในการหาจุดเหล่านี้คือ Fibonacci และ Fibonacci extension จุดนี้ให้สัญญาณชัดเจนว่า ทิศทางราคา อาจจะเกิดการกลับตัว
รูป แบบนี้อาจจะยากซักหน่อย เพราะมันทำให้คุณสับสันเมื่อคุณใส่ เครื่องมือ Fibonacci ลงไป กุญแจสำคัญ ในการหลีกเลี่ยงไม่ให้มีความสับสน คือให้ทำทีละอย่าง แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ทีละขั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ ตาม รูปแบบต่อไปนี้จะเกิดขึ้นทั้งรูปแบบ ABCD ในภาวะตลาดหมี และตลาดกระทิงได้ทั้งคู่ แต่ว่าต้องมีจุด (x) มาก่อนจุด D ถึงจะสามารถวิเคราะห์รูปแบบ Gartley ได้
โดยจะมีลักษณะดังนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น XA.
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ที่ใดที่หนึ่งของเส้น AB.
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.272 ของเส้น BC และถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะเลื่อนไปอยู่ที่ระดับ 1.618 ของเส้น BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ .786 ของเส้น XA
รูปแบบ สัตว์ต่าง ๆ
เมื่อ เวลาผ่านไป รูปแบบ Gartley ได้รับความนิยมมากขึ้น และมาพร้อมกับรูปแบบของปัญหา หรือตัวแปร ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้ค้นพบตัวแปรเหล่านี้ ได้ตั้งชื่อ เป็นชื่อของสัตว์แต่ละชนิด มีดังนี้ ...
ใน ปี 2000, Scott Carney, คนที่เชื่อในรูปแบบราคาแบบ harmonic ค้นพบรูปแบบ "Crab" (ปู) เขาบอกว่า รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่แม่นยำที่สุด ในหมู่ของรูปแบบ Harmonic เพราะว่า เป็นจุดที่อาจจะเกิดจุดกลับเทรนด์ได้ (บางครั้งเรียกว่าเป็น จุดที่คุณจะหมดตัวได้)
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ High reward-to-risk (อัตรากำไรสูงกว่าขาดทุน) เพราะคุณสามารถตั้ง Stop loss ได้ไม่ต้องมากนัก
รูปแบบปูจะต้องมีลักษณะอย่างนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .328 หรือ .618 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ .328 หรือไม่ก็ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC ระดับ Fibonacci เท่ากับ .328 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะเท่ากับ 2.24 ของเส้น BC และ ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น AB เส้น CD ก็ควรจะอยู่ที่ระดับ 3.618 extension ของเส้น BC
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 extension ของเส้น XA
ใน ปี 2001 Scott Carney พบรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาอีก เขาจึงเรียกมันว่า Bat หรือ ค้างคาว รูปแบบ Bat นี้จะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA ซึ่งจะเป็นจุดที่คาดว่าจะเป็นจุดกลับตัวของทิศทางราคา
โดยรูปแบบ Bat จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ :
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .500 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยูที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยูที่ระดับ .382 ของ AB และเส้น CD อยู่ที่ 1.618 ของ extension ของเส้น BC และ BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB เส้น CD ควรจะอยู่ที่ 2.168 ของ Extension BC ตามลาดับ
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ .886 ของเส้น XA
รูป แบบ Butterfly (ผีเสื้อ) เปรียบรูปแบบนี้เหมือนกับ โมฮัมหมัด อาลี ถ้าคุณเห็นรูปแบบนี้ คุณก็อาจจะมีโอกาสน็อคคู่ต่อสู้ และได้รางวัลเป็น pip มากมาย!
รูปแบบนี้ค้นพบโดย Bryce Gilmore รูปแบบ Butterfly ที่สมบูรณ์แบบ คือ เส้น AB อยู่ทีระดับ .768 ของเส้น XA และ เส้น Butterfly จะมีลักษณะดังนี้:
1. เส้น AB ควรจะอยู่ที่ระดับ .786 ของเส้น XA
2. เส้น BC ควรจะอยู่ที่ระดับ .382 หรือ .886 ของเส้น AB
3. ถ้าเส้น BC อยู่ที่ระดับ .382 ของเส้น AB ดังนั้น เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.618 ของ เส้น BC extension และถ้า เส้น BC อยู่ที่ .886 ของเส้น AB ดังนั้นเส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 2.168 ของเส้น BC extension
4. เส้น CD ควรจะอยู่ที่ระดับ 1.27 หรือ 1.618 ของเส้น XA extension
3 ขั้นตอนในการเทรดโดยใช้รูปแบบราคาแบบ Harmonic
สิ่ง ที่คุณได้รู้ จากบทความนี้ เราจะทำกำไรได้จากการเทรดแบบ ฮาร์โมนิค ได้ก็ต่อเมื่อ เราสามารถระบุ การเกิดรูปแบบอย่างสมบูรณ์แบบ และส่งออร์เดอร์เมื่อมันเกิดรูปแบบที่สมบูรณ์แล้ว
มีขั้นตอนพื้นฐาน 3 ขั้นตอน ในการระบุการเกิดของรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 1 ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2 ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3 ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ตามขั้นตอนดังกล่าว คุณสามารถระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic ที่มีความน่าจะเป็นสูง ในการทำกำไรได้
ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
ดู เหมือนรูปแบบ Harmonic ขึ้นมาบ้างรึไม่ และ ณ จุดนี้ เราไม่แน่ใจว่ามันเป็นรูปแบบอะไร มันเหมือนรูปแบบ three drive แต่ว่าอาจจะเป็นรูปแบบ Bat หรือ Crab อีกก็เป็นได้ หรือ อาจจะเป็นกวางมูส ก็ได้
เรามาหาจุดกลับตัว
ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด (Fibonacci) ใช้เครื่องมือ Fibonacci
1. เส้น BC อยู่ที่ระดับ .618 ของเส้น AB
2. เส้น CD อยู่ที่ระดับ 1.272 extension ของเส้น BC
3. ความยาวของเส้น AB จะมีความยาวใกล้เคียงกับความยาวของเส้น CD
รูปแบบนี้ จะทำให้เกิดรูปแบบ ตลาดกระทิง ABCD ซึ่งเป็นสัญญาณให้เราซื้อ
ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
หลังจากที่ เกิดรูปแบบราคาแล้ว สิ่งที่จะต้องทำ คือ ส่งออร์เดอร์ให้ถูกทาง ไม่ว่าจะเป็น Buy หรือ Sell
ใน กรณีนี้ ควรจะซื้อที่จุด D ซึ่งอยู่ที่ 1.272 ของเส้น Fibonacci extension ของเส้น CB และใส่ stop loss ให้ต่ำกว่าราคาที่ส่งออร์เดอร์เล็กน้อย
ง่ายไปหน่อยไหม ? ไม่อย่างนั้นเสมอไป
ปัญหา ของรูปแบบ Harmonic คือ ยากที่จะระบุจุดที่มันเกิดได้ ยากที่จะระบุประเภทของมันได้ นอกจากคุณ จะเข้าใจขั้นตอนในการวิเคราะห์ต่าง ๆ และ ต้องมีสายตาเฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบฮาร์โมนิค และต้องอดทน เพื่อไม่ให้ตัวเองเขาไปในช่วงที่รูปแบบ Harmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ทิศทางราคารูปแบบ Harmonic ทำให้เราบอกได้ว่า จุดไหนที่เทรนด์จะไปต่อ หรือจะเกิดจุดกลับตัว
รูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มี 6 แบบ :
- รูปแบบ ABCD
- รูปแบบ Three-Drive
- รูปแบบ Gartley
- รูปแบบ Crab (ปู)
- รูปแบบ Bat (ค้างคาว)
- รูปแบบ Butterfly (ผีเสื้อ)
ขั้นตอนพื้นฐาน ในการระบุการเกิดรูปแบบทิศทางราคาแบบ Harmonic มีดังนี้
- ขั้นที่ 1: ระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic
- ขั้นที่ 2: ประเมินรูปแบบ Harmonic ว่าอยู่ในระดับใด(Fibonacci)
- ขั้นที่ 3: ส่งออร์เดอร์ Buy หรือ sell หลังจากที่รูปแบบ Harmonic เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
รูป แบบ Harmonic จะมีความสมบูรณ์แบบเพียงใด มันยากในการระบุ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าขั้นตอนพื้นฐานเหล่านี้ คือ คุณต้องมีสายตาที่เฉียบคม ในการระบุการเกิดรูปแบบ Harmonic และมีความอดทน ในการที่จะไม่เข้าตลาด ก่อนที่รูปแบบHarmonic จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
ถ้าคุณฝึกแล้วมีประสบการณ์เพียงพอ การเทรดโดยใช้ Harmonic จะสามารถทำกำไรให้คุณได้อย่างงาม!
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,478.0.html
คำนวณกำไร-ขาดทุน
คำนวณกำไร-ขาดทุน
การคำนวณกำไร-ขาดทุน ก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารพอร์ทลงทุนและการหาเป้าหมายกำไร-ขาดทุน
ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงเรื่องการคำนวณ-กำไรขาดทุนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทุกท่านไม่มากก็น้อย
คำนวณกำไร-ขาดทุน
การคำนวณกำไร-ขาดทุน ก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารพอร์ทลงทุนและการหาเป้าหมายกำไร-ขาดทุน
ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงเรื่องการคำนวณ-กำไรขาดทุนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทุกท่านไม่มากก็น้อย
คำนวณกำไร-ขาดทุน
สูตรคำนวณ มูลค่า 1lot=จำนวนทศนิยม/ราคาปัจจุบัน x contract size
สูตรคำนวณกำไร-ขาดทุน=pip x มูลค่าlot
ตัวอย่าง
USD/JPY = 119.80 คำนวณว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ 10 pip จะเป็นเงินเท่าไหร่
คำนวณมูลค่า 1lot 0.01/119.80 x 100,000 = 8.34 แสดงว่า 1pip = 8.34$ ต่อคำสั่ง 1lot
คำนวณกำไร-ขาดทุน 8.34 x 10pip= 83.4 ราคาเคลื่อนที่ 10pipจะได้กำไร-ขาดทุนที่ 83.4$
คำนวณคู่เงินที่ ***/USD ไม่ได้อยู่ข้างหน้า
EUR/USD = 1.5531 คำนวณว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ 10 pip จะเป็นเงินเท่าไหร่
คำนวณมูลค่า 1lot ( 0.0001/1.5531 x 100,000) x 1.5531 = 10
แสดงว่า 1pip = 10$ ต่อคำสั่ง 1lot
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,142.0.html
การคำนวณกำไร-ขาดทุน ก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารพอร์ทลงทุนและการหาเป้าหมายกำไร-ขาดทุน
ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงเรื่องการคำนวณ-กำไรขาดทุนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทุกท่านไม่มากก็น้อย
คำนวณกำไร-ขาดทุน
การคำนวณกำไร-ขาดทุน ก็ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งในการบริหารพอร์ทลงทุนและการหาเป้าหมายกำไร-ขาดทุน
ดังนั้น ในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงเรื่องการคำนวณ-กำไรขาดทุนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ทุกท่านไม่มากก็น้อย
คำนวณกำไร-ขาดทุน
สูตรคำนวณ มูลค่า 1lot=จำนวนทศนิยม/ราคาปัจจุบัน x contract size
สูตรคำนวณกำไร-ขาดทุน=pip x มูลค่าlot
ตัวอย่าง
USD/JPY = 119.80 คำนวณว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ 10 pip จะเป็นเงินเท่าไหร่
คำนวณมูลค่า 1lot 0.01/119.80 x 100,000 = 8.34 แสดงว่า 1pip = 8.34$ ต่อคำสั่ง 1lot
คำนวณกำไร-ขาดทุน 8.34 x 10pip= 83.4 ราคาเคลื่อนที่ 10pipจะได้กำไร-ขาดทุนที่ 83.4$
คำนวณคู่เงินที่ ***/USD ไม่ได้อยู่ข้างหน้า
EUR/USD = 1.5531 คำนวณว่าถ้าราคาเคลื่อนที่ 10 pip จะเป็นเงินเท่าไหร่
คำนวณมูลค่า 1lot ( 0.0001/1.5531 x 100,000) x 1.5531 = 10
แสดงว่า 1pip = 10$ ต่อคำสั่ง 1lot
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,142.0.html
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ประเภทของคำสั่งเทรด (Type of Order)
Type Of Order
ประเภทของคำสั่งรายการเทรด
โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์จะมีคำสั่งรายการพวกนี้จัดเตรียมไว้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มีบางโบรกเกอร์ที่ออเดอร์แปลกประหลาดต่างจากที่อื่น
พื้นฐานของออเดอร์ที่โบรกเกอร์ทั้งหมดต้องมี
1. Market Order
มา เก็ตออเดอร์คือออเดอร์ที่ buy หรือ Sell ในราคาของตลาดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น EUR/USD ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.2800ถ้าคุณต้องการ Buy ที่ราคานี้ คุณก็คลิก Buy แล้วคุณก็จะได้ราคานี้ทันที
2.Limit order
ลิ มิตออเดอร์คือ ออเดอร์ที่ถูกแทนที่ด้วย Buy หรือ Sell ในราคาล่วงหน้า (ตั้งสวนนั่นเอง ) ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้ราคาของ EUR/USD อยู่ที่ 1.2800 คุณต้องการตั้งสวน Buy ที่ 1.2780 คุณต้องใช้ คำสั่ง Buy Limit เมื่อราคาลงไปถึง 1.2780 ไปชนออเดอร์ของคุณ คุณก็จะได้ราคานี้ทันที
3.Stop order
สต๊ อบออเดอร์ คือออเดอร์ที่ถูกแทนที่ด้วย Buy หรือ Sell ในราคาล่วงหน้าเช่นกัน แต่ไม่ได้ตั้งสวนนะ แต่เป็นการตั้งตามแนวโน้มมากกว่า ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ EUR/USD ราคาอยู่ที่ 1.2800 แล้วคุณต้องการ Buy เมื่อราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ 1.2820 คุณก็อาจจะไปตั้ง Buy Stop ที่ราคา 1.2820 ถ้าราคาผ่าน 1.2820 ได้ ราคาก็จะไปชน Limit order ของคุณ
4. Stop -Loss
จุดหยุดการขาดทุน
เมื่อ คุณได้ทำการเข้าออเดอร์ไว้แล้ว แล้วไม่มีเวลาอยู่หน้าจอ ต้องออกไปข้างนอก Stop loss สามารถช่วยคุณได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณBuy EUR/USD ที่ 1.2820 คุณต้องการที่จะหยุดขาดทุนที่ 20 pips คุณก็สามารถตั้ง Stop loss ได้ที่ราคา 1.2800 เมื่อราคาลงมาถึง 1.2800 ออเดอร์ของคุณก็จะหยุดทันที สต๊อบลอสสามารถช่วยให้หยุดการขาดทุนของคุณได้ ช่วยให้เงินของคุณไม่หมดพอร์ต
5. Target
ทา เก็ตคือ ราคาเป้าหมาย หรือกำไรที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการกำไรจาก Order Buy ที่ราคา 1.2820 โดยหวังกำไรจากรายการนี้ 20 pips คุณก็ตั้ง Target ไว้ที่ 1.2840
การตั้ง Stop loss และ Target ช่วยให้คุณมีวินัยในการเทรดมากขึ้น
ประเภทออเดอร์แบบอื่นๆ
1.GTC(Good'til canceled)
คำ สั่งแบบ GTC เป็นคำสั่งที่ยังคงแอคทิฟจนกระทั่งคุณได้ตัดสินใจยกเลิกมัน โบรกเกอร์ของคุณจะไม่ยกเลิกให้คุณ ดังนั้น นี่เป็นความรับผิดชอบของคุณที่คุณได้กำหนดชนิดไว้แล้ว
2.GFD(Good for the day)
คำ สั่งแบบ GFD จะยังคงแอคทิฟจนกระทั่งตลาดปิด วันต่อวันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ของคุณว่ากำหนด ราคาของวันนั้นๆ จะสิ้นสุดกี่โมง เพื่อเริ่มวันใหม่ ต้องตรวจสอบกับทางโบรกเกอร์ของคุณด้วย
3.OCO (Order cancels other)
คำสั่งแบบ OCO จะรวมระหว่าง Limit และ Stop โดยตั้งไว้ที่ด้านบนและด้านล่างของราคาปัจจุบัน
คำสั่งเหล่านี้จะมีเฉพาะบางโบรกเกอร์เท่านั่น เพราะฉะนั้นคุณควรจะรู้คำสั่งพื้นฐานเอาไว้
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,87.0.html
ประเภทของคำสั่งรายการเทรด
โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์จะมีคำสั่งรายการพวกนี้จัดเตรียมไว้ให้คุณอยู่แล้ว แต่มีบางโบรกเกอร์ที่ออเดอร์แปลกประหลาดต่างจากที่อื่น
พื้นฐานของออเดอร์ที่โบรกเกอร์ทั้งหมดต้องมี
1. Market Order
มา เก็ตออเดอร์คือออเดอร์ที่ buy หรือ Sell ในราคาของตลาดปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น EUR/USD ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 1.2800ถ้าคุณต้องการ Buy ที่ราคานี้ คุณก็คลิก Buy แล้วคุณก็จะได้ราคานี้ทันที
2.Limit order
ลิ มิตออเดอร์คือ ออเดอร์ที่ถูกแทนที่ด้วย Buy หรือ Sell ในราคาล่วงหน้า (ตั้งสวนนั่นเอง ) ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนนี้ราคาของ EUR/USD อยู่ที่ 1.2800 คุณต้องการตั้งสวน Buy ที่ 1.2780 คุณต้องใช้ คำสั่ง Buy Limit เมื่อราคาลงไปถึง 1.2780 ไปชนออเดอร์ของคุณ คุณก็จะได้ราคานี้ทันที
3.Stop order
สต๊ อบออเดอร์ คือออเดอร์ที่ถูกแทนที่ด้วย Buy หรือ Sell ในราคาล่วงหน้าเช่นกัน แต่ไม่ได้ตั้งสวนนะ แต่เป็นการตั้งตามแนวโน้มมากกว่า ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ EUR/USD ราคาอยู่ที่ 1.2800 แล้วคุณต้องการ Buy เมื่อราคาสามารถทะลุแนวต้านที่ 1.2820 คุณก็อาจจะไปตั้ง Buy Stop ที่ราคา 1.2820 ถ้าราคาผ่าน 1.2820 ได้ ราคาก็จะไปชน Limit order ของคุณ
4. Stop -Loss
จุดหยุดการขาดทุน
เมื่อ คุณได้ทำการเข้าออเดอร์ไว้แล้ว แล้วไม่มีเวลาอยู่หน้าจอ ต้องออกไปข้างนอก Stop loss สามารถช่วยคุณได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณBuy EUR/USD ที่ 1.2820 คุณต้องการที่จะหยุดขาดทุนที่ 20 pips คุณก็สามารถตั้ง Stop loss ได้ที่ราคา 1.2800 เมื่อราคาลงมาถึง 1.2800 ออเดอร์ของคุณก็จะหยุดทันที สต๊อบลอสสามารถช่วยให้หยุดการขาดทุนของคุณได้ ช่วยให้เงินของคุณไม่หมดพอร์ต
5. Target
ทา เก็ตคือ ราคาเป้าหมาย หรือกำไรที่คุณต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการกำไรจาก Order Buy ที่ราคา 1.2820 โดยหวังกำไรจากรายการนี้ 20 pips คุณก็ตั้ง Target ไว้ที่ 1.2840
การตั้ง Stop loss และ Target ช่วยให้คุณมีวินัยในการเทรดมากขึ้น
ประเภทออเดอร์แบบอื่นๆ
1.GTC(Good'til canceled)
คำ สั่งแบบ GTC เป็นคำสั่งที่ยังคงแอคทิฟจนกระทั่งคุณได้ตัดสินใจยกเลิกมัน โบรกเกอร์ของคุณจะไม่ยกเลิกให้คุณ ดังนั้น นี่เป็นความรับผิดชอบของคุณที่คุณได้กำหนดชนิดไว้แล้ว
2.GFD(Good for the day)
คำ สั่งแบบ GFD จะยังคงแอคทิฟจนกระทั่งตลาดปิด วันต่อวันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ของคุณว่ากำหนด ราคาของวันนั้นๆ จะสิ้นสุดกี่โมง เพื่อเริ่มวันใหม่ ต้องตรวจสอบกับทางโบรกเกอร์ของคุณด้วย
3.OCO (Order cancels other)
คำสั่งแบบ OCO จะรวมระหว่าง Limit และ Stop โดยตั้งไว้ที่ด้านบนและด้านล่างของราคาปัจจุบัน
คำสั่งเหล่านี้จะมีเฉพาะบางโบรกเกอร์เท่านั่น เพราะฉะนั้นคุณควรจะรู้คำสั่งพื้นฐานเอาไว้
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,87.0.html
Rodrigo Villela เทรดเดอร์ชาวเม็กซิกัน
Rodrigo Villela นักธุรกิจชาวเม็กซิโก เขาเริ่มต้นเข้าสู่วงการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เนื่องจากบริษัทของเขาเป็นธุรกิจนำเข้าส่งออกระหว่างประเทศ ทำให้มีรายรับและต้นทุนเป็นสกุลเงินต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาจำเป็นต้องใช้การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าเพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน (Hedging) ซึ่งจะมีผลต่อกำไรขาดทุนของบริษัทเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจาก Rodrigo ศึกษาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ไม่นาน เขาได้เริ่มเห็นโอกาสทำเงินในตลาดแห่งนี้ในฐานะตลาดแห่งการเก็งกำไรมากขึ้น และเนื่องจากเขาเคยเก็งกำไรในตลาดหุ้นและฟิวเจอร์มาก่อนทำให้เขาสามารถมองเห็นอะไรบางอย่างในตลาดแห่งนี้ที่ตลาดหุ้นไม่มี ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจย้ายเข้าสู่การเก็งกำไรในตลาดค่าเงินอย่างจริงจัง เขาให้เหตุผลไว้หลายประการถึงความน่าสนใจในตลาดค่าเงิน
ข้อแรก ตลาด forex เป็นตลาดที่ใหญ่และมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก เขากล่าวว่าเขาไม่ชอบการ day trade ในตลาดหุ้นเพราะมันมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก บางครั้งคุณก็จำเป็นต้องเทรดในหุ้นที่คุณไม่ต้องการ และเมื่อคุณซื้อหุ้น บางครั้งคุณก็จำเป็นต้องสนใจเรื่องของธุรกิจของหุ้นนั้นบ้าง เพราะการซื้อหุ้นคือคุณกำลังซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ บางช่วงเวลามันแยกออกจากกันไม่ขาดจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่ราคามันไม่เป็นอย่างที่คุณคิด ดังนั้นการเก็งกำไรในตลาดหุ้นจึงเป็นให้เขาปั่นป่วนในบางครั้ง
ข้อสอง ในตลาด forex เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้มากกว่าตลาดหุ้น หากคุณมีการบริหารจัดการเงินทุนที่ดี ค่าเงินแม้จะผันผวนค่อนข้างมากเมื่อเราพิจารณาเป็น PIP หรือ point แต่มันไม่เคยเคลื่อนไหวเกิน 10% ในแต่ละวัน
ข้อสาม ในตลาด forex คุณสามารถ leverage เงินทุนได้เท่าที่คุณต้องการ นั่นมีความหมายมากทีเดียวสำหรับผู้ที่มีเงินทุนไม่สูงนัก ซึ่งสำหรับรายย่อยโบรกเกอร์บางแห่งให้ leverage ได้เป็น 1000 เท่า!! ว้าว แต่นั่นก็ทำให้มือใหม่หลายคนโลภได่เช่น จุดนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง สำหรับมือใหม่ที่แยกไม่ออกระหว่างการเก็งกำไรกับการพนัน
และข้อสุดท้าย ตลาด forex สามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณไม่ต้องทนเห็นราคาเปิดกระโดดหรือตกฮวบ (Gap) ในช่วงตลาดเปิดของเช้าวันใหม่อย่างในตลาดหุ้น ยกเว้นในวันจันทร์หลังหยุดสุดสัปดาห์ เพราะบางครั้ง อาจมีข่าวแรงๆ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดปิด ซึ่งเราไม่สามารถปรับพอร์ตได้ นั่นเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย
สไตล์ในการเทรดของ Rodrigo
สำหรับหลักการในการเก็งกำไร Rodrigo เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาใช้ทั้งเทคนิคคอลและปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจเข้า order และเขาไม่คิดว่าการเลือกดูกราฟหรือปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียวนั้นจะสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว ซึ่งเขาจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในการมอนิเตอร์โอกาสในการเก็งกำไร และเลือกทิศทางตลาดที่จะเข้าเทรด
"ผมจะให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับข้อมูลและข่าวทุกอย่างที่บ่งชี้ถึง สภาพคล่อง ไม่ว่าจะเป็น เงินในระบบเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยของประเทศนั้นๆ และอัตราดอกเบี้ยเปรียบเทียบประเทศอื่น รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตร (yield curves) ฯลฯ หลังจากนั้น ผมจึงใช้เทคนิคคอลเพื่อหาจังหวะในการเข้าเทรด ผมจะไม่ใช้แค่กราฟเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อขาย เพราะว่าคุณไม่สามารถจะคาดการณ์อนาคตได้ด้วย indicator เท่านั้น ซึ่งหลังจากผมเลือกข้างโดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ผมจะใช้เทคนิคคอลเพื่อหาราคาที่ดีที่สุดในการเข้า order และดูกราฟเพื่อจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาเพื่อใช้ในการออกและ take profit เมื่อผมเห็นว่าราคาได้วิ่งมาไกลพอแล้ว ตรงจุดนี้กราฟสามารถแสดงให้คุณเห็นได้เป็นอย่างดี "
"และผมต้องขอบอกพวกคุณว่าคุณไม่สามารถนำระบบเทรดของคุณไปประยุกต์ใช้ในทุกๆตลาด ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ forex มันถือว่าเคลื่อนไหวช้ากว่ามาก คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในมุมมองอื่นๆ เพราะหุ้นมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของธุรกิจ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งตลาด จากนั้นจึงวิเคราะห์ตัวบริษัท สำหรับผมแล้ว การลงทุนในหุ้นนั้นมันง่ายกว่าเพราะอย่างน้อยคุณก็สามารถประเมินความถูกแพงของหุ้นได้ แต่สำหรับค่าเงินนั้นมันไม่ง่าย !!!!"
นักลงทุนหลายๆคน พยายามมองการประเมินมูลค่าของค่าเงิน ให้เหมือนกับการประเมินมูลค่าหุ้น คือคิดว่าค่าเงินหนึ่งๆ เป็นตัวแทนของประเทศนั้นๆ แล้วพยายามจะประเมินความแข็งแกร่งของประเทศ แต่เชื่อผมเหอะ กับค่าเงินคุณมันไม่ได้อยู่ในวิถีที่คุณจะประเมินความสามารถในการทำกำไรของประเทศนั้นๆได้อย่างถูกต้องหรอก มันยากที่เราจะแกะภาพหามูลค่าของประเทศ ดังนั้น การลงทุนในตลาด forex มันจึงง่ายกว่าหากคุณใช้เทคนิคคอลในการหาจังหวะเข้า order ซึ่งสำหรับผม เขาจะสนใจปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อสภาพคล่องของค่าเงินเท่านั้น เขาจะไม่พยายามมองให้ประเทศ อยู่ในรูปของบริษัทที่ต้องแสวงหากำไร เพราะมันไม่ใช่!!!
คู่เงินที่เลือกเก็งกำไร
Rodrigo เผยว่าเขาจะเทรดเฉพาะค่าเงินเปโซเม็กซิกันเท่านั้น เพราะเหตุผลเรื่องธุรกิจส่งออกของเขา และเขาเข้าใจพฤติกรรมของมันเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังคงติดตามค่าเงินอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย
เทรดทุกวันหรือไม่
Rodrigo บอกว่าเขาติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดค่าเงินมาตังแต่ 1998 และหลงรักมัน เขาจึงมักเข้าซื้อขายแทบทุกวันสำหรับพอร์ตส่วนตัว แต่พอร์ตของบริษัทส่งออกของเขาจะซื้อขายเฉพาะเมื่อเห็นโอกาสหรือเมื่อบริษัทจำเป็นต้องประกันความเสี่ยงจริงๆ เท่านั้น
"สิ่งที่ผมบอกคุณได้ มันคือความหลงไหล ตั้งแต่ผมเริ่มเทรดมา ผมก็มักจะพยายามเปิด position ในตลาดหนึ่งตลาดใดอยู่เสมอ"
คุณคิดว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยไหม?
Rodrigo บอกว่าเขาคิดว่าเขาเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยสูงมาก ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการเทรด แต่ในทุกมุมของชีวิต เขาคิดว่าเทรดเดอร์ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีวินัย เขาเชื่อว่าไม่มีใครสามารถได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตได้ด้วยตัวเอง หากปราศจากชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยวินัย ในเรื่องของการเทรดก็เช่นกัน การเทรดของเขาจึงดำเนินไปด้วยวินัยอย่างเคร่งครัด จนมันกลายเป็นเหมือนเครื่องจักร กลายเป็นกิจวัตร เขาจะไม่เทรดโดยใช้อามรมณ์ หรือความตื่นเต้น แต่เขาจะเทรดก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันถูกต้องเป็นไปตามระบบเท่านั้น
ข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
คุณต้องจินตนาการว่าคุณกำลังขับรถแข่งกับนักขับคนอื่นๆ อีกนับพัน ส่วนนึงในนั้นเป็นสุดยอดนักขับของโลก พวกเขามีพรสวรรค์และมีเครื่องยนต์สุดไฮเทค โดยการแข่งขันเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนท่ามกลางหมอกที่ลงจัด นี่คือสิ่งที่ดีมากสำหรับคุณที่จะจินตนาการได้ว่า FX คืออะไร เทรดเดอร์ทุกคนอยู่ในสนามแข่ง และต้องการจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไป คุณก็จะไม่ได้อยู่ในสนามแห่งนี้นานนักหรอก
ถ้าคุณหวังจะเทรดเป็นอาชีพหลัก จำไว้ว่าคุณจำเป็นต้องอุทิศส่วนนึงที่สำคัญในชีวิตคุณเพื่อที่จะทำมัน นี่มันคือธุรกิจในระยะยาว พยายามทำให้มันง่ายซะและอย่าพยายามเสี่ยงมากเกินไป ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษา ตั้งใจเรียนซะ โดยเฉพาะวิชาเลข สถิติ เศรษฐศาสตร์มหภาค ทฤษฎีเกี่ยวกับการเงิน และทุกๆอย่างที่จำเป็นที่จะทำให้คุณเข้าใจกลไกของตลาด อ่านและวิเคราะห์ให้มากๆ ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด และที่สำคัญ อย่าเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
สุดยอดเทรดเดอร์จะมีความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงอย่างลึกซึ่ง เขาสามารถคำนวณและรักษาระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมในทุกๆการเทรด ดังนั้น คุณต้องเริ่มเทรดด้วยจำนวนเงินน้อยๆก่อน แล้วค่อยๆทบต้นมันขึ้นไป นี่คือหนทางที่จะทำคุณได้มีอิสรภาพทางการเงิน
บทเรียนสำคัญที่ได้จากการเทรด forex ?
Rodrigo บอกว่ามันดีที่จะเป็นฝ่ายถูก แต่แม้คุณจะเล่นถูกทางคุณก็อาจขาดทุนได้ คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองต่อตลาดทันทีที่ sentiment ตลาดเปลี่ยน ในที่สุดแล้ว มันไม่สำคัญว่าคุณจะถูกหรือผิด แต่มันอยู่ที่ว่าคุณกำไรหรือขาดทุนมากกว่า
มันคือความอ่อนน้อมถ่อมตัวให้กับตลาด "ผมเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถมั่นใจมากเกินไปเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้ ผมต้องต่อสู้กับตัวเองทุกๆวันเพื่อที่จะเป็นคนถ่อมตัวที่มีความอดทน พยายามมองหาเบาะแสที่จะบอกผมเกี่ยวกับทิศทางตลาด พยายามเก็บความโลภและความปรารถนาอย่างอื่นให้อยู่ในความควบคุมของผม ต่อสู้กับตัวเองเพื่อที่จะตระหนักและใส่ใจถึงความเสี่ยง เพื่อที่จะตระหนักถึงความโชคดีในชีวิตและในตลาด เพื่อที่จะเชื่อมั่นถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และเหนือสิ่งอื่นใดคือต่อสู้เพื่อที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ว่ามันจะส่งผลต่อผมยังไงก็ตาม "
|
ป้ายกำกับ:
การซื้อขาย,
กำไร,
ตลาดหุ้น,
โบรกเกอร์,
พื้นฐาน,
day trade,
leverage,
orderโอกาส,
PIP
มีทุนน้อยจะลงทุนใน Forex อย่างไรดี?
- จากที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง หากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว มีทุนไม่พอแน่ ทำไงดี ตรงนี้แหล่ะคjtที่ Leverage เข้ามามีผล Leverage มีผลกับการ เทรด Forex อย่างไร เรามาดูกัน
มารู้จัก Leverage กันค่ะ
- Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ค่ะ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)
- แต่ไม่ต้องห่วงนะค่ะ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ค่ะ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะค่ะ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกค่ะ
- คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ค่ะ) นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10% และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์
- ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ค่ะ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva (โบรกเกอร์) มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันค่ะ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5 เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ)
- ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ดิฉันเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่หลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่เทรด
- ที่ FxOpen (โบรกเกอร์) ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เอง
- แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ
คุณสามารถลงทุนใน Forex แทนได้ โดยใช้ทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด มาเริ่มเรียนรู้การลงทุนและทำเงินจาก Forex Trading ได้ที่นี่ และจงจำไว้เสมอว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง"
|
ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex
โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?
อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้
ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น
ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด
บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว
โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ
จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ
ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,53.0.html
ป้ายกำกับ:
การซื้อขาย,
การเทรด,
โบรคเกอร์,
Ask,
Bid,
leverage,
Order,
PIP,
Transaction