แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Spread แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Spread แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การป้องกันความเสี่ยง

การป้องกันความเสี่ยง

ก่อนที่จะลงลึกไปในรายละเอียดกว่านี้ เราบอกคุณได้อย่างไม่ปิดบังเรื่องที่ต้องคิดก่อนที่จะเทรด คือ:

1. นักเทรดทุกคน หมายถึง ทุกคนจริงๆ จะเสียเงินในการเทรด
90 เปอร์เซ็นของเทรดเดอร์ จะเสียเงิน เนื่องจากขาดการวางแผน การฝึก และไม่มีความรู้ ความเข้าใจ เรื่องการ จัดการ การเงิน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน คุณจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเทรด หรือการปรับตัว ในการ เทรด

2. การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ทำงาน ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้น้อย และไม่สามารถ
ดูแลตัวเอง จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าวให้ตัวเองได้
คุณ ควรจะมีเงินในการเทรด ในบัญชี mini เป็นอย่างน้อย นั่นหมายความว่าเป็นเงินที่คุณ สามารถเสียไปได้ ไม่ใช่ยืม คนอื่นมาเล่น อย่าคิดว่าจะสามารถเริ่มเทรดด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญแล้วจะกลายเป็น มหาเศรษฐี ในชั่วข้ามคืน

ตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดที่ได้รับความนิยม มาก สำหรับนักเก็งกำไร เนื่องจากตลาดที่มีความคล่องตัวสูง ของการ เคลื่อนไหว ของทิศทางค่าเงิน เมื่อเกิดเทรนด์ขึ้น นักเทรดทั่วโลกส่วนใหญ่จะ เสียเงิน ขณะที่คนที่ประสบ ความ สำเร็จ กับฟอร์เร็กซ์ มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเทรดเดอร์ ทั้งหมด

เทรดเดอร์ส่วน ใหญ่เข้ามาในตลาด พร้อมกับ ความหวังว่า พวกเขาจะทำเงินได้เป็นล้านเหรียญ แต่ว่าในความจริง พวกเขา ต้องมีวินัยในการเทรด ผู้คนส่วนมากจะขาดวินัยอยู่แล้วแม้กระทั่ง แค่พยายามจะลดน้ำหนัก ด้วยการ ไปที่ยิมสามครั้ง ต่อสัปดาห์ยังทำได้ยาก ถ้าแค่นั้นคุณยังทำ ไม่ได้คุณจะเทรดแล้วประสบความสำเร็จได้ยังไง การเล่นระยะสั้นนั้น ไม่เหมาะกับมือสมัครเล่น และมันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามในการ ทำให้ตัวเอง รวยขึ้น คุณไม่สามรถทำกำไร ได้มหาศาลโดยไม่เสี่ยงเลยได้หรอก กลยุทธ์การเทรดที่เสี่ยงสูง ย่อมหมายถึง โอกาสที่คุณ จะขาดทุนสูงเข้าไปด้วย เทรดเดอร์ที่ทำอย่างนั้น เรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งกลยุทธในการเทรด แม้ว่าคุณจะเรียกมันว่ากลยุทธการพนันก็ตาม


ฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่หนทางไปสู่ความร่ำรวยมั่งคั่ง !
- การเทรดฟอร์เร็กซ์เป็นทักษะ และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ นักเทรดที่มีทักษะที่ดี สามารถทำเงินได้ จากการเทรด อย่างไรก็ตามก็เหมือนอาชีพอื่น ๆ ความสำเร็จไม่ได้มา เพียงชั่วข้ามคืน การเทรดฟอร์เร็กซ์ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ (เหมือนที่คนบางคนเชื่อ) ลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนที่เทรดจะ ได้เป็นเศรษฐีกันหมด ทำไม ระดับมืออาชีพที่เทรดมาหลายปีก็ยังต้องขาดทุนอยู่บ้าง

- ท่องไว้ในหัวของคุณเสมอ : ไม่มีทางลัดในการเทรดฟอร์เร็กซ์ มันใช้เวลานาน และนาน และนาน ยิ่งกว่า อย่างอื่น ในการที่เราจะกลายเป็นมืออาชีพ ไม่มีตัวสำรองให้เปลี่ยน เมื่อเรารู้สึกเหนื่อย และคิดว่างานนั้นยาก ในการฝึกเทรดเดโม และการเล่นเงินปลอม แล้วคิดว่าเป็นเงินจริง

อย่าพึ่งเปิดบัญชีเงินจริง จนกว่าคุณจะเทรดแล้วได้กำไรในบัญชีเดโม

ถ้า คุณไม่สามารถรอให้คุณทำกำไรในบัญชีเดโมได้ อย่างน้อยคุณก็ต้องลองเทรดเดโมซักสองเดือน อย่างน้อย คุณก็จะไม่เสียเงินจริง ไปอย่างน้อยสองเดือน ถ้าแค่สอง เดือนคุณยังเทรดเดโมไม่ได้กกำไร ก็เลิกเล่นซะ

- จำไว้ว่า เล่นคู่หลัก ๆ ซักคู่หนึ่ง มันยากที่จะเทรดด้วยการเทรดหลายค่าเงิน เมื่อตอนที่คุณกำลังหัดเล่น เล่นแค่คู่หลัก ๆ คู่เดียวพอ เพราะค่า spread ก็จะถูกด้วย


คุณอาจจะเป็นผู้ชนะในการเทรดฟอร์เร็กซ์
แต่ว่า.. ในชีวิตของคุณ คุณต้องศึกษามันอย่างหนัก
ทำการบ้าน ทุ่มเท และต้องใช้โชคช่วยนิดหน่อย
ต้องใช้สามัญสำนึก และ การตัดสินใจที่ดี เป็นอย่างมาก
 
ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,557.0.html

lot คือ อะไร?

lot คือ อะไร?

ฟอร์เร็ก ซ์ จะเทรดเป็น lot ขนาดมาตรฐานของ 1 ลอท คือ 100,000 ยูนิท ซึ่งก็มีบัญชีแบบ มินิลอท เหมือนกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 10,000 ยูนิท และอย่างที่บอกว่า ค่าเงินนั้นคิดเป็น pip เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของค่าเงินนั้น ๆ ในการที่จะทำให้เราได้ประโยชน์จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ คือเราต้องเทรดจำนวนมาก จึงจะเห็น กำไร-ขาดทุน ชัดเจน

เช่น เราใช้ 100,000 ยูนิท (เท่ากับ 1 สแตนดาร์ดลอท) ลองยกมาคำนวณ เพื่อให้เห็นว่ามันส่งผลยังไง

USD/JPY ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 119.80
(.01/119.80)x100,000 = 8.34 เหรียญต่อจุด
USD/CHF ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ1.4555
(.0001/1.4555)x100,000 = 6.87 เหรียญ ต่อจุด

ถ้าในกรณีที่เงินดอลล่าร์อยู่ข้างหลัง การคำนวณก็จะแตกต่างกันเล็กน้อย

EUR/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.1930
(.0001/1.1930)x100,000 = 8.38x1.1930 = 9.99734 ถ้าปัดเศษได้ก็จะเท่ากับ 10 เหรียญต่อจุด

GBP/USD ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1.8040 (.0001 / 1.8040) x 100,000 = 5.54 x 1.8040 = 9.99416 ถ้าปัดเศษก็จะได้เท่ากับ 10 ต่อจุด.

โบ รคเกอร์ของคุณ อาจจะมีวิธีการคิดมูลค่าของ pip ที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหน พวกเขา สามารถ บอกได้ว่า ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดมูลค่าต่อหนึ่งจุดนั้น เป็นเท่าไหร่ในช่วงที่คุณกำลังเทรด ซึ่งถ้าตลาด มีการเคลื่อนไหว มูลค่าต่อจุดจะขึ้นอยู่กับ ค่าเงินที่คุณกำลังเทรดอยู่


แล้วเราจะคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างไร
ตอนนี้ คุณรู้ว่าจะคำนวณมูลค่าต่อจุดอย่างไร ลองมาดูต่อว่า เราจะคำนวณกำไร-ขาดทุนได้อย่างไร
เช่น เราซื้อดอลล่าร์สหรัฐ และขายสวิสฯฟรังค์ (usd/chf)
สมมุติว่า อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้อยู่ที่ 1.4525/1.4530 (bid/Offer) เพราะว่าคุณกำลังซื้อเงินดอลล่าร์คุณจะได้ราคาที่ 1.4530
ถ้า ซื้อที่ 1 สแตนดาร์ด ลอท (100,000 ยูนิท) ที่ราคา 1.4530. ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ราคาเคลื่อนไหวขึ้นไปที่ 1.4550 และคุณตัดสินใจที่จะปิดออร์เดอร์
อัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้จะเท่ากับ 1.4550/1.4555 หลังจากที่ปิดออร์เดอร์ เรากลับไปดูตั้งแต่ที่ ซื้อจนปล่อยขาย เพื่อปิดออร์เดอร์ คุณจะได้ราคาที่ 1.4550 ซึ่งเป็นราคาที่เราปิดได้

ความแตกต่างของ 1.4530 กับ 1.4550 คือ .0020 หรือเท่ากับ 20 pip

เราใช้สูตรก่อนหน้านี้ เราก็จะได้ (.0001/1.4550) x 100,000 1= 6.87 ต่อจุด x ด้วย 20 จุด ซึ่งจะได้กำไรทั้งหมด 137.40 เหรียญ
จำไว้ว่า เมื่อคุณเข้าหรือออก จากการเทรด คุณจะต้องจ่ายค่า spread เหล่านั้นด้วย ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง Bid/Offer ดังกล่าว

เมื่อ Buy ค่าเงินค่าเงินหนึ่ง คุณจะต้องเสนอ(offer)ราคา และเมื่อ Sell คุณก็ต้องตั้ง(Bid)ราคา
** ดังนั้นเมื่อ Buy ค่าเงิน คุณจะต้องจ่าย spread เมื่อเข้าเทรด แต่ไม่ต้องจ่ายเมื่อปิดออร์เดอร์
** และเมื่อ Sell ค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่าย spread ตอนเข้าเทรด แต่คุณจะต้องจ่ายเมื่อคุณปิดออร์เดอร์

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,551.0.html

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures


ความแตกต่างระหว่าง forex กับ Futures


                  ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง ฟอร์เร็กซ์ กับ Futures
                           ความได้เปรียบ                Forex         Futures
                   เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง           YES            NO
                 ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด*        YES            NO
                    มี leverage สูงถึง 1:400         YES            NO
                       มีราคาที่แน่นอน                   YES            NO
                      ความเสี่ยงมีจำกัด                  YES            NO

สภาพคล่อง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ มีปริมาณการซื้อขาย 2 ล้าน ๆ เหรียญต่อวัน เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ซึ่งถ้าเราเทียบ กันกับตลาดอื่นแล้ว ทำให้ปริมาณหรือขนาดของตลาดทุนอื่น ๆ ดูเล็กลงไปทันที ตลาดฟิวเจอร์เทรดอยู่ราว ๆ 30,000 ล้านเหรียญต่อวัน ตลาดฟิวเจอร์ไม่สามารถแข่งกับตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะมีปริมาณการเทรดที่จำกัด หมายความว่า ฟอร์เร็กซ์ ออร์เดอร์สามารถส่งคำสั่งใด ๆ ก็ตามได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการคลาดเคลื่อนของราคา นอกจาก ในช่วงที่ตลาด มีความผันผวนสูงหรืออยู่ในภาวะที่ไมปกติเท่านั้น

เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ณ.เวลาบ่าย 2:15 วันอาทิตย์ (ตามเวลาสากล และท้องถิ่น)
ตลาดเริ่มเทรดที่ ซิดนีย์ และสิงคโปร์
เวลา หนึ่งทุ่มตรง ตลาดโตเกียว เปิดทำการ
ตามตลาดลอนดอนเวลาตีสอง
และ สุดท้ายตลาดนิวยอร์คเปิดเวลา 8 โมงเช้า
และ ปิดที่เวลา 5 โมงเย็น
ดัง นั้นก่อนที่ตลาดนิวยอร์คจะปิด ตลาดสิงคโปร์ และตลาดซิดนีย์ ก็กลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว และก็วนอย่างนี้ ไม่รู้จัก จบสิ้น จนสุดสัปดาห์
ใน ฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง ทำให้ต้องสนใจกับ ข่าวดีหรือข่าวร้าย ที่เกิดขึ้นด้วยการเทรด ถ้าเหากว่ามีข้อมูลที่สำคัญ ออกมา จากอังกฤษ หรือว่า ญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ กำลังจะปิด นั่นหมายความ ถ้ามันเปิดตลาดมาวันต่อไป ราคาต่อวิ่งกระฉูดแน่นอน
(ตอนกลางคืน แม้อาจจะมีการเทรดฟิวเจอร์ค่าเงินอยู่บ้าง แต่ว่าปริมาณการเทรดก็เบาบาง ไม่มากนัก และยากเกินไป สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะเข้าเทรด)

ไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการเทรด
อะไร สำคัญที่สุดในการเทรดค่าเงิน คุณไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น เพราะคุณติดต่อโดยตรงกับ market maker ทางโปรแกรมออนไลน์ คุณไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้คนกลางไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือขาย แต่ว่าก็ยังมี ค่าใช้จ่าย นิดหน่อย คือค่า Spread ในการเทรดฟิวเจอร์ หรือการเทรดหุ้น หรือ Equity ก็มีเหมือนกัน โบรคเกอร์ จะได้ผล ตอบแทนจากค่า spread แทนที่จะเป็นค่าคอมมิชชั่น

มีราคาที่แน่นอน
เมื่อ เทรดฟอร์เร็กซ์ คำสั่งซื้อขายของคุณจะได้รับการส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว และได้ราคาที่คุณคิดไว้ ภายใต้ภาวะ ตลาดปกติ แต่ในทางกลับกัน ราคาของฟิวเจอร์ หรือ equity คุณอาจจะไม่ได้ราคาที่คุณอยากซื้อ หรือสามารถส่งคำสั่ง แล้วได้ออร์เดอร์นั้นทันทีทันใด แม้ว่าคุณจะใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงขนาดไหน หรือ โบรคเกอร์ของคุณสามารถ ส่งคำสั่งได้เร็วขนาดไหน ราคาที่คุณต้องตั้งไว้นั้น อยู่ไกลจากราคาปัจจุบัน เพราะเมื่อคุณส่งราคานั้นออกไป มันเป็น ราคาสุดท้ายที่มีการเทรด แต่ไม่ใช่ราคาที่ตัวสัญญาระบุราคาไว้ (เพราะว่าฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายราคาในอนาคต)

ความเสี่ยงมีจำกัด
นัก เทรดจะมี Position Limit วัตถุประสงค์เพื่อจัดการความเสี่ยง ตัวเลขนี้เกี่ยวกับจำนวนเงินในบัญชีเทรดของ เทรดเดอร์ ความเสี่ยงถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงในตลาดฟอร์เร็กซ์ เพราะโปรแกรมที่นักเทรดใช้อยู่ จะเรียก มาร์จิ้น เพิ่มอัติโนมัติ (margin call) เมื่อเทรดเดอร์ไม่มีมาร์จิ้นเหลืออีก ออร์เดอร์ที่เปิดอยู่จะถูกปิดทันทีตามขนาด ของ Position ที่เปิดอยู่ ในตลาดฟิวเจอร์ Position ของคุณจะต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปตลอด ถ้ามันขาดทุน หรือว่า มีมูลค่า ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่โบรคเกอร์กำหนด คุณต้องใส่เงินจำนวนที่เท่ากับจำนวนที่ขาดทุน เข้าไปในบัญชี มันเป็นเรื่องบ้ามาก

เหตุผลที่นอกเหนือจากข้อดังกล่าว

ไม่มีคนกลาง

คน กลางในการแลกเปลี่ยน สามารถทำให้เราได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งของการเทรด โดยการผ่าน คนกลางคือ ความสัมพันธ์ของคนกลาง ซึ่งระหว่างกลุ่มเทรดเดอร ์และด้านผู้ซื้อ ด้านผู้ขาย ในตลาดการทุน ทุกเครื่องมือทางการเงิน ต้องมีค่าใช้จ่าย ที่เราต้องจ่ายให้คนกลาง ซึ่งอาจจะคิดเป็นเวลา หรือเป็นค่าธรรมเนียมตายตัว ก็แล้วแต่ แต่การเทรดค่าเงินนั้น ไม่ต้องผ่านคนกลาง และเทรดเดอร์ยังสามารถเทรดได้กับตลาดโดยตรงซึ่ง market maker เป็นผู้รับผิดชอบต่อออร์เดอร์ ที่เทรดเดอร์เป็นผู้ส่งราคานั้น ๆ ดังนั้น ฟอร์เร็กซ์ ซื้อขายได้ทันท่วงทีมากกว่า และยังมีต้นทุน ที่ถูกกว่าอีกด้วย

ไม่มีใครสามารถควบคุมตลาดได้
หลาย ๆ ครั้งที่อาจจะได้ยินว่า กองทุน A กำลังเทขาย X หรือ กำลัง ซื้อ Z มีข่าวลือว่ากองทุนกำลังจะ เทขาย ทำกำไร เพราะว่าถึงเวลาใกล้ปิดบัญชีแล้ว หรือว่าจะเป็นวัน "triple witching day"(เป็นวันที่ สัญญาออพชั่น หรือ ฟิวเจอร์ หมดพร้อมกันทั้ง index และก็ตัวหุ้นเอง) , และเหตุผลต่าง ๆ นานา ที่ออกมาอธิบายว่าทำไม หุ้นถึงขึ้น หรือทำไม ตลาดอยู่ภาวะตลาดหมี หรือ ตลาดกระทิง ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เคลื่อนไหว ไปตามกองทุนไม่ว่าจะ ซื้อหรือขาย ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ การเข้ามาควบคุมตลาดได้ของธนาคารขนาดใหญ่หรือกองทุนใหญ่ ๆ มีน้อยมาก ธนาคาร เฮดจ์ฟันด์ รัฐบาล หรือแม้แต่บริษัทรับแลกเงินต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นแค่ผู้เทรดในตลาดทั่วโลก ซึ่งทำให้มันมีสภาพคล่อง หรือมูลค่ามหาศาลนั่นเอง

นักวิเคราะห์ กับ บริษัทโบรคเกอร์ มีบทบาทน้อย ในการชักนำตลาด
คุณ เคยได้ยินเรื่องหุ้น หรือไม่ว่า บทวิเคราะห์ที่โบรคเกอร์ออกมาให้คำแนะนำ เช่น ซื้อ เมื่อหุ้นราคากำลังปรับฐาน มันเป็นธรรมชาติของการลงทุนแบบนี้ ไม่ว่ารัฐบาลจะออกมาเตือน และไม่สนับสนุน การกระทำของโบรคเกอร์ แต่ว่าเราก็ยังได้เห็นมันอยู่ การเปิดขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนทั่วไป เป็นโอกาสในการได้เป็นมหาชนของบริษัท และยังเป็นโอกาส ในการทำ กำไรของโบรคเกอร์อีกด้วย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งนักวิเคราะห์ ก็ทำงานให้โบรคเกอร์ อยู่แล้ว และโบรคเกอร์ก็ต้องการลูกค้า ก็เป็นธรรมดา ที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน และเราก็ยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยไป ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินฟอร์เร็กซ์เป็นตลาดใหญ่ มีปริมาณการเทรดเป็นพัน ๆ ล้านจากธนาคารทั่วทุกมุมถนนทั่วโลก และเพราะ มันเป็นตลาดการเงินของโลก นักวิเคราะห์ในตลาดฟอร์เร็กซ์ ไม่สามารถเป็นผู้ชี้นำทิศทางตลาด ให้กับ เทรดเดอร์ได้ พวกเขาเพียงทำได้แค่ ่วิเคราะห์ตามภาวะตลาดเท่านั้นเอง

หุ้น 8,000 ตัว กับ 4 ค่าเงิน
มี หุ้นอยู่ในตลาดหุ้น New York Stock exchange.ประมาณ 4,500 ตัวและ อีกราว ๆ 3500 ตัวในตลาด NASDAQ. คุณเทรดตลาดไหนอยู่ คุณจะมีเวลาที่ไหนไปหาบริษัทที่มีผลประกอบการจากบริษัททั้งหมด แปดพันกว่าบริษัท แต่ ในตลาดค่าเงิน เรามีค่าเงินเพียงไม่กี่คู่ และ่ส่วนใหญ่ที่เทรดกัน มีแค่ 4 ค่าเงิน การดู 4 ค่าเงินง่ายกว่า การดูหุ้น 8 พันตัว คุณคงคิดเองได้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,545.0.html

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น

ความแตกต่างระหว่าง forex กับ หุ้น
                    ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่าง  ฟอร์เร็กซ์ กับ หุ้น
                         ความได้เปรียบ                     Forex       หุ้น
                     เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง            YES          NO
                   ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด            YES          NO
                   สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที          YES          NO
                     สามารถเล่น Short Sell ได้         YES          NO

เทรดได้ 24 ชั่วโมง
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ เป็นตลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะ เปิดตลอด 24 ชั่วโมง โบรคเกอร์ส่วนมาก เปิดตั้งแต่วันอาทิตย์ เวลา บ่ายสอง จนถึง บ่ายสี่โมงวันศุกร์ (เวลาสหรัฐฯ) แต่ฝ่ายบริการลูกค้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน ทำให้เรา สามารถเทรดสามตลาดคือ ตลาดสหรัฐฯ ตลาดเอเชีย และตลาดยุโรป สามารถกำหนดตารางการเทรดได้

ฟรีค่าธรรมเนียมในการเทรด
ฟอร์เร็กซ์ โบรคเกอร์ ส่วนใหญ่ไม่มีการชาร์จค่าคอมมิชชั่น หรือ ค่าดำเนินการใด ๆ ในการเทรดค่าเงินออนไลน์ หรือ ทางโทรศัพท์ ถ้ารวมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และค่า spread แล้ว การเทรดฟอร์เร็กซ์ มีต้นทุนในการเทรด ต่ำกว่าตลาดใด ๆ ในโลก โบรคเกอร์ได้รับรายได้จากส่วนต่างของ Bid/Ask ซึ่งก็คือ ค่า Spread นั่นเอง

สามารถส่งคำสั่งเทรดได้ทันที Instantaneous Execution of Market Orders
เมื่อ ส่งคำสั่ง สามารถทำได้ทันทีภายใต้ภาวะตลาดปกติ และได้ราคาที่คุณคิด ดังนั้น เมื่อคลิ๊กที่ราคาไหน ก็จะได้ ราคานั้น เพราะตลาดฟอร์เร็กซ์เป็นระบบเรียลไทม์ จะได้ราคาที่อยากได้ที่แสดงในหน้าจอโปรแกรมเทรด จะเห็นได้ว่า โบรคเกอร์ส่วนใหญ่จะรับประกันเพียงแค่ ออร์เดอร์ Stop , Limit หรือ ออร์เดอร์ที่คุณเข้าเทรดภายใน ภาวะตลาดปกติ เท่านั้น แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ออร์เดอร์อาจจะมีการล่าช้าบ้าง ทำให้ไม่ได้ราคาที่ตามคิด

สามารถเล่น Short-Selling ได้
ตลาด ฟอร์เร็กซ์ ไม่เหมือนตลาดทุนอื่นๆ ไม่มีกฏเงื่อนไข ใด ๆ ในการส่งคำสั่ง Short selling โอกาสในการเทรด ขึ้นอยู่กับ ภาวะตลาดไม่ว่าเทรดเดอร์จะ Buy หรือ Sell หรือว่าตลาดจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน เพราะเมื่อมี การซื้อ ค่าเงินหนึ่ง ก็ต้องมีการขายอีกค่าเงินหนึ่ง จึงไม่มีผลกระทบอะไรกับตลาด ดังนั้น จึงสามารถส่งคำสั่งได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดกำลังเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,544.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Time Frame ไหนดีนะที่เหมาะกับเรา?


คุณ dvc11 เข้ามาตั้งกระทู้ว่า เขาอยากรู้จังเลยว่าคนส่วนใหญ่เทรดที่ Time Frame เท่าไหร่กันบ้าง และ ทำไมถึงเทรดที่ Time Frame นั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 นาที 2 นาที 5 นาที 15 นาที 20 นาที 30 นาที 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง แบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน อะไรก็ได้ รับฟังหมด (ปล.บางโบรกเกอร์ที่ไม่ได้ใช้ Platform ของ MT4 อาจจะมี 2 นาที 10 นาที 2 ชั่วโมงให้เลือกดูได้ครับซึ่ง MT4 ปกติจะไม่มี)


ใน ช่วงแรกของกระทู้นี้มีคนเข้ามาเถียงกันนิดหน่อยระหว่างคุณ The redlion กับ Scotty B ซึ่งผมมองว่าไม่ได้มีสาระอะไรมากเลยขอข้ามช่วงแรกไปนะครับ ถ้าใครสนใจว่าเค้าเถียง
อะไรก็ตามไปอ่านที่กระทู้จริงได้

คุณ Ipndasno เข้ามาตอบว่า มันขึ้นอยู่กับคุณว่าคุณอยากเห็น “ความละเอียด” ของราคามากแค่ไหน แต่สำหรับเขาแล้วเขาให้ความสนใจกับ “ระยะของแท่งเทียนจากจุดสูงสุดของแท่งถึงจุดต่ำสุดของแท่งเทียน” มากกว่า เพราะมันคือแนวรับแนวต้านดี ๆ นี่เอง


คุณ Rob Mondave เข้ามาตอบว่าสำหรับเขาแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับ Daily Time Frame มากกว่าสำหรับ Forex และ Time Frame อื่น ๆ ในหุ้นตัวอื่น (เหมือนเค้าจะเทรดS&P500 Futures ด้วย) เพราะเขาชอบเทรดแบบยาว ๆ มากกว่า


คุณ deltatrade บอกว่า เขาชอบเทรดที่ Time Frame 2 ชั่วโมง (2H) ด้วยเรื่องของ Spread และความยืดหยุ่นของราคาจะต่ำมากพอจนเขารู้สึกว่าได้เปรียบ เพราะเขาเทรดตั้ง
10 คู่แหนะ


คุณ babwilliams เข้ามาพูดว่า พวกสถาบันการเงินใหญ่ ๆ มักจะเทรดใน Time Frame ใหญ่ ๆ อย่าง Daily ขึ้นไปด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขามีกำลังซื้อขายในตลาดสูงมาก เขาจึงไม่
จำเป็นต้องมาสนใจใน Time Frame เล็ก ๆ นั่นเอง
คุณ Vmpwraith เข้ามาให้ความเห็นว่า เขาดูอยู่ 4 Time Frame นะคือ 15M 1H 4H และ Daily เขาจะเทรดจาก Time Frame 15M เพราะเขารู้สึกว่า Time Frame นี้โอเคส
ำหรับเขา เขาสามารถใช้ 15M ในการยืนยันเรื่องของเทรนได้ด้วย


คุณ Pipwrangler เสนอวิธีเทรดของเขาว่า อย่างเขาเนี่ยชอบดู Time Frame ใหญ่ ๆ อย่าง 1H ขึ้นไปเลยนะเพราะมันใช้วิเคราะห์แนวโน้มได้ดี แต่เวลาเข้าเขาจะมาเข้าใน Time
Frame 30M 15M หรือแม้กระทั่ง 5M เมื่อเค้าเห็นว่าราคาเป็นเทรนยาว ๆ เค้าจะไปดูราคาใน 4H หากราคาเป็นสวิงนิด ๆ เขาก็จะมาดูใน 1H วิธีคิดง่าย ๆ สำหรับเขาคือ เขาเทรดใน
Time Frame ที่เขามองว่าอ่านง่ายที่สุด ณ ขณะนั้น

คุณ forexpoor บอกว่า Time Frame ใหญ่ ๆ เหมาะสำหรับคนที่ใจเย็นและคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าอยู่หน้าจอ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะลองเทรดทั้ง Time Frame ที่เล็ก ๆ หรือใหญ่ก็ดีนะ
และหา Time Frame ที่เหมาะสมกับคุณน่าจะเป็นอะไรที่ดีที่สุด
คุณ The Saint ตอบว่า ส่วนตัวแล้วเขาชอบเทรดในช่วงที่ตลาดปิดแท่งของวัน (Daily Time Frame) และเทรดใน Time Frame เล็ก ๆ ในแต่ละวันด้วย เขามักจะชอบดูราคาตอน
ปิดแท่ง Daily และชอบมาหาสัญญาณเข้าในกราฟ 1H แต่วันไหนที่กราฟเป็นสวิงเยอะ ๆ เขาก็จะมาหาจุดเข้าในกราฟ 1H 15M หรือ 5M ขึ้นอยู่กับสภาพของตลาด ณ ขณะนั้น


คุณ Sywa ให้ความเห็นว่า อย่างของเขาเนี่ยต้อง Time Frame 30 นาทีเลยโอเคที่สุดสำหรับเขา ถามว่าทำไมนะหรอ? เขาคิดว่า Time Frame ที่เล็กกว่านั้นมันหลอกตาเขามากเกิน
ไปและ 1H ก็ดูจะนานเกินไปสำหรับเขา ดังนั้น 30 นาทีนี่ละ เจ๋งที่สุดแล้ว

คุณ hedging เสนอว่า อย่างของเขาเนี่ย เขาชอบเทรดสวิงใน Time Frame daily นะ ถึงแม้ว่าโอกาสเข้าจะได้แค่ 6-8 ครั้งต่อเดือน แต่เวลาปล่อยยาวทีก็สามารถทำได้ถึง 400-
500 pips สบาย ๆ ถึงแม้จะโดนลากหน่อยแต่อย่างน้อยสุดก็ได้ 80-120 pips กลับมาแน่นอน (โบรกเกอร์ 4 ตำแหน่งนะครับที่เขาพูดถึง)


คุณ Slow Burn ช่วยตอบว่า เขาเทรดใน 1H นะเพราะชอบมี False Breakout ให้เขาเห็นและเข้าตามได้บ่อย ๆ แต่ถ้าวันไหนตลาดสวิงเยอะ ๆ เขาก็จะลงมาดูกราฟที่ 15 นาที


คุณ Vitez บอกว่า เขาใช้แค่ 2 Time Frames เองคือ 1H กับ Daily เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะวิเคราะห์มากเกินไปใน Time Frame เล็ก ๆ หากวันไหนไม่พอใจกับกราฟ daily ก็
จะลงมาดู 1H น้อยครั้งที่เขาจะมาดู 15M บ้างยกเว้นเวลา Strong Move Breakout แรง ๆ นะ


จาก บทความนี้เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทรดเดอร์แต่ละคนมีการเลือกใช้ Time Frame ที่ต่างกันออกไปตามวิธีการเทรดและนิสัยของแต่ละคน การเลือก Time Frame ในการ
เทรดให้เหมาะสมกับตัวเองส่วนตัวแล้ว ต้องใช้เวลาหน่อยนะครับกว่าเราจะเจอ Time Frame ที่ถูกใจ เพราะในช่วงแรก ๆ ของการเริ่มเทรด จะมีสิ่งล่อตาล่อใจมากมายให้ผู้เทรดหน้า
ใหม่ได้ลองเล่น ซึ่งของเล่นเหล่านั้นก็จะมีกติกาหรือวิธีการเล่นซึ่งรวมไปถึง Time Frame ที่ต่างกันออกไปด้วย ทำให้ผู้เทรดไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วตัวเองชอบ Time Frame ไหนกันแน่

วิธีการเลือก Time Frame ของผมคือให้คุณลองสังเกตตัวเองก่อนเลยว่า ตัวเองนิสัยยังไง ใจร้อน ใจเย็น รอลากได้ไหม หรือ สวิงเดียวก็หนีแล้ว เมื่อเราเข้าใจตัวเองแล้วก็ต้องดูเวลา
ของ คุณด้วยว่า คุณมีเวลาอยู่กับกราฟนานแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนทำงานไปด้วยเทรดไปด้วย Time Frame  สูง ๆ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว หรือ ถ้าคุณเฟี๊ยวชอบความเสี่ยง ชอบความ
รวด เร็ว การเทรดใน Time Frame  เล็ก ๆ อาจจะเป็นคำตอบของคุณ เท่านี้เราก็จะสามารถเลือก Time Frame ที่เหมาะสมได้ครับ อย่างผมเองก็เปลี่ยน Time Frame มาเยอะ
เหมือนกัน มีช่วงหนึ่งตอนที่กำลังเรียนมหาลัยอยู่ช่วงนั้นผมก็เทรด Time Frame ใหญ่ ๆ ก็สบายดีนะครับ 4H ค่อยดูกราฟทีนึง สามารถกะได้เลยว่าอีก 4H ข้างหน้าต้องดูกราฟหรือไม่
ต้องดูกราฟ แต่ก็ทำใจรับกับการลากยาว ๆ ของ 4H ไม่ได้

ปัจจุบัน ผมใช้อยู่ทั้งหมด 3 Time Frames คือ 5M, 1H, Daily โดย Daily เอาไว้ดูภาพรวมของเมื่อวานว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปิดเป็นแท่งเทียนหน้าตายังไง ที่สำคัญคือสามารถใช้ จุด
สูงสุดของแท่งและจุดปิดของแท่งในการหาโซนเทรด ด้วย หลังจากนั้นก็มาดู 1H เพื่อดูว่าน่าจะไปทางไหน เมื่อเลือกทางแล้วก็จะมาหาจุดเข้าใน 5M ครับ แบบนี้เป็นต้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,483.0.html