แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จังหวะ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จังหวะ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Pivot Point

Pivot Point


 เครื่อง มืออีกชิ้นหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก คือ Pivot Point เทรดเดอร์มืออาชีพ และ Market Maker นิยมที่จะใช้ Pivot point นี้มาเป็นเครื่องมือในการหาแนวรับแนวต้านที่สำคัญ ที่อาจเกิดการกลับตัวของราคาได้ในระดับแนวรับแนวต้านนั้นๆ เราอาจเห็นว่า Pivot point นั้นมีความคล้ายคลึงกับ Fibonacci อยู่มากทีเดียว แต่ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองอย่างก็คือการใช้ Fibonacci เราสามารถเลือกจุดสวิงสูงสุด และต่ำสุดได้ตามที่เราต้องการ แต่การใช้ Pivot point เราจะไม่สามารถเลือกสวิงได้ แต่เราจะใช้ค่าเดียวที่ได้จากการคำนวณ
เจ้า Pivot point นี้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น ที่กำลังมองหาความได้เปรียบในการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาในระยะสั้น สามารถใช้ในการเล่น Swing trade โดยใช้หาจุดกลับตัวของราคา รวมทั้งยังสามารถหาจุด Breakout ของราคา และ ยังใช้ในการดูแนวโน้มระยะสั้นของแต่ละวันได้อีกด้วย
ตัวอย่างหน้าตาของ Pivot point


 การคำนวณหา Pivot point
การ คำนวณ ระดับของ Pivot point และเส้นแนวรับ - แนวต้าน จะถูกคำนวณจากราคา  ราคาสูงสุด(H) , ราคาต่ำสุด(L) และ ราคาปิด (C) ของวันก่อนหน้านี้ และตั้งแต่ที่ตลาด Forex มีการเปิดทำการ 24 ชั่วโมง เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะใช้เวลาปิดตลาดนิวยอร์ก คือ 04:00 EST เป็นเวลาปิดของตลาด
การคำนวณหา Pivot Point มีดังต่อไปนี้
Pivot point (PP) = (High + Low + Close) / 3

แนวรับแนวต้านที่ใช้ร่วมกัน จะถูกคำนวณหาจากค่าของจุด Pivot point ที่ได้อีกทีหนึ่ง
แนวต้านที่ 1 (R1) = (2 x PP) - Low
แนวรับที่ 1 (S1) = (2 x PP) - High

แนวต้านที่ 2  (R2) = PP + (High - Low)
แนวรับที่ 2   (S2) = PP - (High - Low)

แนวต้านที่ 3  (R3) = High + 2(PP - Low)
แนวรับที่ 3 (S3) = Low - 2(High - PP)

นี่ คือหลักในหารคำนวณ แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการคำนวณเหล่านี้เลย เพราะมีโปรแกรมที่ช่วยคำนวณหาทุกอย่างให้คุณอย่างเสร็จสรรพ หรือแม้แต่ Indicator ที่คุณสามารถนำมาใส่ในกราฟแล้วใช้ได้เลย ไม่ต้องมานั่งคำนวณเอง และในบางโปรแกรมยังให้รายละเอียดมากกว่าการคำนวณด้านบนด้วยซ้ำ คือมีการเพิ่มจุดกึ่งกลางระหว่างเส้นต่างๆเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งเส้นกึ่งกลางที่เพิ่มขึ้นมานี้ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรเหมือนกับเส้นหลัก แต่ก็แค่มีเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ดังตัวอย่างในภาพ

Pivot Point


การใช้งาน Pivot Point
การ ใช้งาน Pivot point อย่างแรกเลยก็คือ ใช้เป็นแนวรับแนวต้านได้เป็นอย่างดี เพราะราคามันจะมาเทสที่เส้น ยิ่งมาเทสบ่อย แล้วไม่วิ่งผ่านทะลุไป หมายความว่าแนวรับ หรือแนวต้านนั้นมีความแข็งแกร่งมาก แสดงว่ามีแนวโน้มมาก ที่ราคาจะมีการกลับตัวได้ในตำแหน่งนั้นๆ
เมื่อราคาวิ่งมาอยู่บริเวณ Pivot point จะส่งสัญญาณที่ดีในการเทรดว่าควรจะเปิด Buy หรือ Sell และควรตั้ง TP และ SL ไว้ที่ไหน ซึ่งโดยปรกติแล้ว ถ้าราคาอยู่เหนือเส้น Pivot จะแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น และ ถ้าต่ำกว่าเส้น Pivot ก็จะแสดงแนวโน้มขาลง บางคนจึงใช้จุดนี้ในการเข้าเทรดได้แบบง่ายๆ คือ ราคาอยู่เหนือ Pivot point ก็บาย ต่ำกว่า Pivot point ก็เซล ตามไป SL แค่เหนือน หรือต่ำกว่า จุด Pivot point ง่ายมั้ยคะ !!
ส่วนถ้าคุณเห็น ราคาอยู่ใกล้กับเส้นแนวต้านด้านบน คุณก็เซลลงมา และตั้ง SL เหนือระดับแนวต้านนั้น หรือถ้าคุณเห็นราคาอยู่เหนือเส้นแนวรับ คุณก็บายขึ้นไป และตั้ง TP ที่แนวต้านด้านบน และ ตั้ง SL ไว้ใต้แนวรับนั้น หรือห่างออกไปอีกแนวรับหนึ่ง ซึ่งก็แล้วแต่สถานการณ์และวิจารณญาณในขณะนั้นของแต่ละคน


ก็ เหมือนกันแนวรับแนวต้านทั่วๆไป Pivot point นั้นก็ต้านราคาไม่อยู่ตลอดไป บางครั้งราคาอาจจะวิ่งทะลุเส้นไปเป็น Breakout และบางทีราคาก็มาไม่มาเทสที่เส้นแนวรับแนวต้านต่างๆ อาจจะวิ่งมาแค่เฉียดๆ หรือ อยู่ในระยะที่ใกล้เคียง ก็เพราะมันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ และไม่มีอะไรที่แน่นอน ดังนั้นบางครั้งถ้าเรามัวแต่รอให้ราคาวิ่งมาชนที่เส้น เราก็อาจพลาดจังหวะการเข้าออเดอร์ได้ เราลองมาดูตัวอย่างกัน ที่ EUR/USD TF M15


 เรา จะเห็นว่า EUR/USD วิ่งขึ้นเป็นเทรนอย่างแข็งแกร่งตลอดทั้งวัน เราเห็นว่าราคาเปิดขึ้นเป็น Gap ขึ้นไปเหนือเส้น Pivot point ราคาวิ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งก่อนที่จะปรับระดับลดลงมาใกล้ๆ กับ ระดับ R1 แต่ไม่มาแตะที่เส้น แล้วในที่สุดก็พุ่งทะลุระดับ R2 ขึ้นไป 50 จุด ซึ่งถ้าในกรณีนี้คุณ ได้ตัดสินใจเข้าบาย ตอนที่เห็นราคาวิ่งทะลุเส้น R2 ขึ้นไป คุณก็จะทำกำไรได้ แต่ถ้าคุณรอที่จะให้ราคามาเทสที่เส้น R1 ก่อน คุณก็ต้องพลาดโอกาสไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในตัวอย่างราคาไม่ได้กลับลงมาเทส ที่ R1 และ R2 เลย และสังเกตว่าราคาวิ่งไปถึง R3 เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ ตามถ้าคุณยึดหลักการเข้าออเดอร์แบบก้าวร้าว คุณก็อาจโดนหลอกได้จากการพักตัวครั้งแรกของราคา ถ้าจุด SL ของคุณใกล้เกินไปราคาก็อาจจะวิ่งไปโดนได้ และต่อมาคุณก็อาจเห็นว่าราคามันทะลุมาได้ในที่สุด
หลังจากที่คุณจะเห็น ว่าราคาทะลุผ่านแนวต้านไปแล้ว มันก็จะกลับมาเทสเส้นแนวต้านที่มันเพิ่งผ่านทะลุไปเช่นกัน และสังเกตว่าราคาได้กลับตัวในวันต่อมาโดยปรับตัวลดลงทะลุแนว R3 ตอนนี้ก็เป็นโอกาสในการเปิดเซล เมื่อราคากลับมาเทสที่เส้น R3 (ตามภาพ)
จงไว้ว่า เมื่อแนวรับถูกทำลายมันจะกลายเป็นแนวต้านแทน (ตามหลักการ แนวต้าน กลายเป็นแนวรับ แนวรับ กลายเป็นแนวต้าน)

ไม่ ว่าเราจะใช้เครื่อมือใดๆก็ตามแต่ อย่างไรซะในการเทรดมันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ โดยพาะอย่างยิ่งในตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง ดังนั้นเราจึงควรมีเงื่อนไขในการเทรดด้วย ว่าเมื่อไหร่เราควรทำอะไร ต่อไปนี้เป็นภาพตัวอย่างการตั้ง TP และ SL


 สังเกต ว่า เมื่อราคาวิ่งผ่านแนวต้านแต่ละแนวไป เราจะเซท SL ไว้ที่ใต้แนวรับนั้นๆ ส่วน เป้าหมายราคาหรือ TP ก็จะเป็นแนวต้านต่อๆไป หรือ ถ้าเป็นในทางกลับกัน ราคาวิ่งลงมา เราก็จะเซท SL ไว้ที่เหนือแนวต้าน แล้ว TP ที่แนวรับถัดๆไป นี่เป็นหลักการเบื้องต้นง่ายๆในการใช้ Pivot point ในการเทรด ประโยชน์ของมันเล็กน้อยแต่มากมายมหาศาลสำหรับคนที่รู้จักการนำมาปรับใช้

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,570.0.html


แผนการลงทุนภายใน 1 ปี

แผนการลงทุนภายใน 1 ปี


จากตาราง เป็นแผนการทำกำไรภายในระยะเวลา 1 ปี แถวที่สองเป็นจำนวนจุดต่อเดือน
แถวที่สามคือ จำนวนจุดต่อวันและแถวที่สี่เป็นเปอร์เซนต์ของเงินลงทุนของเรา
ซึ่งถ้า % เงินลงทุนน้อย จำนวนจุดต่อวันก็จะมาก แต่ถ้า % ของเงินลงทุนเยอะ
จำนวนจุด ที่ต้องการต่อวันก็จะน้อยลง ซึ่งก็มีความเสี่ยงมากกว่าด้วยยกตัวอย่างนะครับ
เราจะเล่นที่ 5 % ของทุน คือ 0.25 เหรียญคงที่ตลอดระยะเวลา 1เดือนเราต้อง
ทำกำไรวันละ 100 จุด (pips) และต้องทำให้ได้ 2000 จุด ภายใน 1 เดือน
และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อครบกำหนด 1 ปี เราก็จะมีเงิน 20480 เหรียญ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากโดยที่เราจะต้องสามารถควบคุมอารมณ์และความโลภของเราให้ได้
และศึกษาการใช้เครื่องมือต่างๆ ในการเข้าเทรด เพียงแค่นี้เราก็สามารถทำเงินก้อนใหญ่ได้จากฟอเร็กซ์แล้ว

ข้อคิดเตือนใจนักลงทุน
                    "ความผิดพลาดส่วนใหญ่ เกิดจาก อารมณ์ ของเราทั้งนั้น"

             "เมื่อมองตลาดยังไม่ชัดเจน ก็ควรลดน้ำหนักการลงทุนลง"

     "เตรียมพร้อม วางแผนให้ดี รอบคอบ ระมัดะวัง อย่าคาดหวังมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยง''
          1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน

          2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)

          3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้

          4. คิดอย่างอิสระ

          5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก

          6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )

          7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป

          8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน

          9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)

         10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )

         11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว

         12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี

         13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น

         14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,549.0.html

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

กฏ 24 ข้อ เพื่อทำกำไรในตลาด

นักค้าต้องมีกฏเกณฑ์ในการปฏิบัติที่ แน่นอนและต้องมีวินัยอย่างเคร่งครัด กฏเกณฑ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ได้รวบรวมจากประสบการณ์ 45 ปี ในตลาดหุ้นของ นายวิลเลี่ยม ดี แก้น ซึ่งเป็นที่เชื่อว่า หากใครสามารถปฏิบัติตามได้ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น

1. จำนวนเงินลงทุน ต้องพอดีและจงแบ่งเงินลงทุนเป็นสิบส่วน เท่าๆกัน ในการซื้อขายแต่ละครั้ง อย่าลงทุนซื้อหรือขาย เกินหนึ่งในสิบของเงินลงทุน
2. ใช้คำสั่ง STOP ORDER ควรป้องกันการลงทุนโดยการตั้ง STOP ORDER 3-5 ช่วงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ หรือ สูงกว่าราคาที่ขาย
3. อย่าซื้อหรือขายเกินตัว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนในข้อ 1
4. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน หลังจากที่ท่านมีกำไร 3 ช่วงหรือมากกว่านั้น จงยกระดับ STOP ORDER ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ขาดทุน
5. อย่าเริ่มก่อนแนวโน้ม ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ:ตามแผนภูมิของท่าน
6. เมื่อสงสัย ให้ออกจากตลาดและอย่าเข้าตลาดถ้ายังสงสัย
7. ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขายมาก อย่ายุ่งกับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวช้าหรือแน่นิ่ง
8. จงกระจายความเสี่ยง ซื้อขายหุ้นอย่างน้อย 4 ถึง 5 บริษัท ถ้าเป็นไปได้อย่างลงทุนจนหมดตัวในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
9. จงอย่าใช้ราคาเฉพาะ ทั้งการซื้อและการขาย จงใช้ราคาตลาด
10. อย่าขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีเหตุผลที่ดี จงใช้ STOP ORDER เพื่อป้องกันกำไรหดหาย
11. จงสะสมกำไร หลังจากที่ท่านประสบความสำเร็จและมีกำไรติดต่อกันหลายๆ ครั้ง จงสำรองกำไรส่วนนี้ไว้ต่างหากเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือตอนที่มีการตื่น ตระหนก
12. อย่าซื้อ เพียงแต่เพื่อจะเอาเงินปันผล
13. อย่าเฉลี่ยการขาดทุน เพราะนี่เป็นความผิดที่เลวร้ายที่สุดที่นักค้าหุ้นไม่ควรทำ
14. อย่าออกจากตลาด เพียงเพราะว่าท่านหมดความอดทนหรือเข้าตลาด เพียงเพราะว่าท่านไม่อยากรอ
15. จงหลีกเลี่ยง การขายเพื่อเอากำไรแต่น้อยและอย่าปล่อยให้ขาดทุนมาก
16. จงอย่ายกเลิกคำสั่ง STOP ORDER ที่ท่านสั่งตอนที่ท่านซื้อขายหุ้นนั้น
17. จงหลีกเลี่ยง การเข้าและออกจากตลาดบ่อยเกินไป
18. จงพร้อมที่จะขาย เช่นเดียวกับซื้อและยึดวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้แน่วแน่
19. จงอย่าซื้อ เพียงเพราะราคาต่ำและอย่าขายเพียงเพราะคิดว่าราคาสูง
20. จงระวังการพีระมิดในจังหวะที่ผิด จงรอจนกระทั่งเริ่มมีการซื้อขายมากและระดับราคาได้วิ่งขึ้นผ่านระดับต้านทาน ก่อนที่จะซื้อเพิ่ม และรอจนกระทั่งราคาได้วิ่งตกต่ำกว่าระดับจำหน่ายจ่ายแจกก่อนที่จะซื้อเพิ่ม ขึ้น
21. เมื่อซื้อ จงสะสมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนน้อย และ ถ้ายืมหุ้นคนอื่นมาขาย จงยืมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนมาก
22. อย่าป้องกันการขาดทุน ในหุ้นที่ซื้อมาโดยการยืมหุ้นจากคนอื่นมาขายไปก่อน จงขายหุ้นที่ซื้อมาไปในราคาตลาดและยอมรับการขาดทุนเพื่อคอยโอกาสครั้งต่อไป
23. อย่าเปลี่ยนสถานภาพการลงทุน (POSITION) ในตลาดโดยไม่มีเหตุผลที่ดี เมื่อท่านตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นแล้ว จงให้โอกาสตัวเองตามเหตุผลที่ดีบางประการหรือตามแผนที่กำหนดไว้ อย่าขายหรือซื้อจนกว่าจะมีสัญญาณบอกว่าแนวโน้มได้เปลี่ยนทิศทาง
24. จงหลีกเลี่ยงการเพิ่มพอร์ท หลังจากที่ประสบความสำเร็จและมีกำไรมาเป็นเวลานาน

เมื่อ ท่านตัดสินใจที่จะซื้อขายหุ้น ท่านต้องแน่ใจว่าท่านไม่ได้ฝ่าฝืนกฏข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น ซึ่งเป็นกฏที่จำเป็นต่อความสำเร็จของท่าน หากท่านขายหุ้นไปโดยมีการขาดทุน จงทบทวนกฏข้างต้นใหม่และพิจารณาดูว่าท่านได้ทำผิดกฏข้อใด แล้วอย่าทำผิดเป็นครั้งที่ 2 ประสบการณ์และการพิจารณาอย่างรอบคอบจะทำให้ท่านเชื่อคุณค่าของกฏเหล่านี้ การสังเกตและการศึกษาจะนำท่านสู่วิธีการที่ถูกต้องเพื่อ ความสำเร็จและกำไรในตลาดหุ้น

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,123.0.html

บทสรุปของคำว่า "ล้างพอร์ต"


เป็นอีกครั้งที่ผมทำได้สำเร็จกับเขาเสียที นั่นคือ "ล้างพอร์ต" ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 5 เดือน อะไรมันจะเร็วปานนั้นนนนนนนนพี่น้อง... ขอมาเล่าให้พี่น้องฟังกันครับ เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจแล้วกันครับ สาเหตุที่ยังทำให้ผมพบกับคำว่าล้างพอร์ต พอที่จะสรุปสาเหตุหลัก ๆ ได้ดังนี้ครับ

1. ลงลอตใหญ่เกินไป หวังรวยเร็ว คือทุน $100 ลงทีละ 5 ลอต เก็บสั้นทีละ 3-10 จุด แรก ๆ ก็พอได้ครับ กำไรงาม ชักชะล่าใจ ปล่อยให้ลาก สุดท้ายก็....
2. ไม่มีการตั้ง SL เพราะว่า ยังไงราคามันต้องวิ่งกลับมาแน่นอน ไม่มีทางที่มันจะวิ่งไปทางเดียว แต่กว่ามันจะกลับมา สุดท้ายก็....
3. เสียดาย น่าจะได้มากกว่านี้ อีกนิดนึง เกือบถึงแล้ว รออีกหน่อยน่า สุดท้ายก็....
4. มองเทรนไม่ออก เข้าออกตามความรู้สึก ไม่สนอารมณ์ตลาด สุดท้ายก็...
5. เข้าออกไม่มีจังหวะ ชะชะช่า อยากเข้าก็เข้า อยากออกก็ออก สุดท้ายก็...

คิด อะไรไม่ออกแล้วครับ หลัก ๆ ก็มีเท่านี้ครับ ฝากใครที่ยังไม่พบกับคำว่า "ล้างพอต" รบกวนอย่ารีบตามผมมาน่ะครับ เล็ก ๆ ใช่ ใหญ่ ๆ อย่าทำ (เสียน้อย ๆ ดีกว่าเสียมากน่ะครับ...) ฝากเพื่อน ๆ นักเทรดทุกท่านด้วยน่ะครับ...

 ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,118.0.html
 

สิ่งที่จำเป็นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

สิ่งที่จำเป็นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical analysis)

สิ่งจำเป็นสำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิคมีอยู่ด้วยกันหลักๆ อยู่ 4 ข้อ

1. เรียนรู้และฝึกฝน (lean and practice)
2. หยุดขาดทุน (Cut loss)
3. ปกป้องกำไร (protect your profit)
4. มีระเบียบวินัยในการลงทุน (investment discipline)

1. เรียนรู้และฝึกฝน (lean and practice)

การเรียนรู้และฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเลยก็ว่าได้นะครับ
เพราะการลงทุนไม่ใช่ความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ความรู้ของนักลงทุน

มีความรู้มากก็เสี่ยงน้อย
มีความรู้น้อยก็เสี่ยงมาก

และการฝึกฝนต้องมาควบคู่กับการเรียนรู้
เพราะเมื่อเรียนรู้แล้วต้องลงมือปฏิบัติในตลาดจริง จะได้รู้ถึงวิธีการประยุกต์เข้าสู่ตลาดจริง

ตัวอย่างเช่น ท่านมีปืนหนึ่งกระบอก ท่านได้ทำการเรียนรู้ว่าปืนนี้ยิงยังไง ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
แต่ท่านไม่เคยมาลองยิงจริงเลย ถามว่าท่านจะยิ่งแม่นขึ้นไหม??
คำตอบก็คือ ไม่เลยยยย

การเรียนรู้ทางเทคนิคก็เหมือนกันท่านมัวแต่ศึกษาตามตำราอย่างเดียวก็ไม่ได้ท่านต้องฝึกฝนในตลาดจริงด้วย
เพราะบทเรียนใน ตลาดบางเรื่องจำเป็นกว่าบทเรียนในตำราบางเรื่องอีก...

"การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ได้บอกว่าคุณจะยิงเข้าเป้าเสมอไป แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะทำให้คุณยิงเข้าเป้ามากขึ้นเท่านั้นเอง"

2. หยุดขาดทุน (Cut loss)

Cut loss ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยทีเดียวสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการประสบความสำเร็จ
เพราะการ Cut loss จะเป็นตัวช่วยให้เราไม่ขาดทุนมากจนเกินไป
แต่การ Cut loss เป็นการทำอะไรที่ค่อนข้างทำใจยากในคนบางกลุ่ม
เพราะชอบคิดไปว่า...ตัวอย่างเช่น เข้าไปในตลาด กดคำสั่ง Buy EUR/USD ไว้
เมื่อค่าของ EUR/USD ลดลง ก็ชอบหลอกตัวเองว่าเดี่ยวกราฟก็คงขึ้น
หลังจากนั้น....กราฟก็ค่อยๆลงไปเรื่อยๆๆ เรื่อยๆ อยู่แบบนั้นจนเงินที่หน้าตักหมด
ทำให้ล้างพอร์ตไปตามๆกัน

วิธีการแก้ไขที่ดีคือ ... เมื่อเราเข้าไปในตลาดแล้วมองว่ากราฟมันจะขึ้นเลยกดคำสั่ง Buy ไว้
แต่ พอกราฟมันมาผิดทางกับที่เราคำนวณไว้ ก็กด Cut loss แทนที่จะปล่อยให้มันลากยาวหรือภาวนารอให้มันขึ้น ก็ตัดมันทิ้งซะ ! "เนื้อร้ายต้องตัดออก"
แล้วออกมาดูแนวโน้มใหม่และพิจารณาว่า เมื่อกี้เราใทำอะไรผิดพลาดไป
เมื่อเรามั่นใจแล้วว่า "เมื่อกี้เราคำนวณผิดนะ จริงๆแล้วกราฟมันจะลง" ก็ Sell ไว้
เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถเอาชนะตลาดได้ง่ายๆ

3. ปกป้องกำไร (protect your profit)

การปกป้องกำไรถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างถือว่าสำคัญเลยทีเดียวเพราะเป็นการรักษากำไรของเรา
ไม่ใช่แบบว่า ราคาขึ้นไปสูงจนทำให้มีกำไรแต่ไม่กล้าขายเพราะคิดว่าราคานั้นจะสูงกว่านี้
แต่พอเวลาผ่านไปราคากลับปรับลงเรื่อยๆจนทำให้ขาดทุนจึงทำการ Cut loss ไป
ทำให้เราขาดกำไรในส่วนที่เราควรจะได้มา

พูดมาหลายคนอาจจะ งง ผมเลยขอยกตัวอย่างให้ดูนะครับ

นาย ก ซื้อ หุ้นมาที่ราคาหุ้นละ 30 บาท ผ่านไป 10 วัน หุ้นมีราคา หุ้นละ 40 บาท
แต่นาย ก คิดว่าราคาน่าจะขึ้นไปได้เยอะกว่านี้นาย ก ก็เลยทำการปกป้องกำไร
โดยถ้าราคาหุ้นตัวนี้ลงมาต่ำกว่า 38 บาท นาย ก จะทำการขาย
แต่พอเวลาผ่านไป หุ้นตัวนี้ไม่มีการปรับราคาขึ้น แต่ดันปรับตัวลง และก็ลง
ลงเรื่อยๆ จนราคามาถึง หุ้นละ 20 บาท

เห็นไหมล่ะครับ นาย ก ได้ทำการปกป้องกำไรส่วนของเขาไว้
ถ้านายก็ไม่ทำการปกป้องกำไรส่วนนี้ไว้ เขาก็อาจจะขาดทุนก็ได้...

4. มีระเบียบวินัยในการลงทุน (investment discipline)

ระเบียบถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ถือว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 99.9999% ทำกัน
ก็คือ มีระเบียบและวินัยในการลงทุน

เพราะการมีระเบียบและวินัยจะทำให้คุณปฏิบัติตามระบบของคุณ
หลายคนอาจยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่าไหร่นักเพราะคิดว่า อยากเข้าเมื่อไหร่ก็เข้า
อยากเข้าเมื่อไหร่ก็เข้านี้มันเป็นระบบของ "นักพนัน" นะครับ
นักลงทุนเขาจะต้องมีการวางแผนก่อนเข้า หาจังหวะเข้าที่ดี หาจังหวะออกที่ดีและหาวิธีการหนีที่ดีด้วย

เมื่อมีแนวโน้มออกมาไม่ชัดก็ไม่เข้า เมื่อระบบบอกว่า Cut loss ก็ต้องทำ
ทำตามกฎที่ตัวเองตั้งไว้อย่าง อดทน และหนักแน่น
แล้วจะทำให้คุณเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จครับ...

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,113.0.html

ประสบการณ์การเทรด forex ของผม

อเล่าประสบการณ์การเทรด forex ของผม ให้เพื่อนได้อ่านกันครับ อย่าคิดเป็นอย่างอื่นน่ะครับ เหตุเกิดเมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ หลังจากที่อาทิตย์ก่อนฟันกำไรไป $46 มาอาทิตย์หลัีง คาดว่าจะต้องฟันกำไรอีกแน่ วันจันทร์มา มองแล้วน่าลง เลยจัดเซลไปซะดอกนึง พอมันลงได้หน่อยนึง มันก็เด้งขึ้นมา ด้วยความคิดแรกที่ว่า ยังไงมันก็ลงแน่ ก็เ้ลยปล่อยมันไป พอมันขึ้นไปสักพัก มันก็ลงครับ แต่ลงไม่ถึง TP เรา ก็ปล่อยมันก่อน แล้วมันก็เด้งขึ้น ตั้งแต่วันจันทร์ จนถึงวันพฤหัส มันก็ยังขึ้นไม่หยุด ทำไงละทีนี้ รีบหาเงินโอนเข้า เพื่อเติมจิ้น โอนเงินเข้าเพิ่มอีก $10 สักพักกราฟมันก็ลงมาได้นิดหนอ่ย แล้วมันก็ขึ้น ทีนี้ คาดว่า มันคงไม่ลง เลยตัดตัวหนักออก อย่างน้อยก็เหลือตัวไม่หนักที่จะพอถือไว้ได้ และจิ้นก็คงพอที่จะถือยาวได้ วันศุกร์มา กราฟก็ยังไม่ลง ยังขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน เราก็ปลงแล้วล่ะ เอาว่ะ หมดก็หมด มันจะไปทางไหนก็ไป เลยปิดคอมซะ เดินหนีไปดูเขาเตะบอลดีกว่า พอตกตอนดึก ก็แวะมาเปิดคอมอีกที กราฟมันก็ยังนิ่ง ไม่ยอมลง แล้วก็ไม่ยอมขึ้นไปไกลกว่านี้ ก็เลยจัดชอตอีกไม้นึง แล้วก็เผลอหลับหน้าคอมนั่นเลย ตื่นมาอีกทีตี 4 อ้าวเฮ้ยยยย สวรรค์มีตาจริง ๆ ด้วยตัวที่ชอตเมื่อตอนดึก ก็วิ่งถึง TP แถมเกินไปอีกเยอะ แต่ยังเหลือตัวที่ชอตไปเมื่อวันจันทร์ อีกนิดเดียวมันก็จะถึง แต่อย่างน้อย ๆ ก็ดีใจครับ ที่จากเหลือหน้าตักเพียง $21 กลับมาเก็บทุนได้ที่ $100 + กำไรอีกนิดนึง แต่ยังเหลือที่ยังไม่ปิดอีก 2 ไม้ วันจันทร์มองว่ามันน่าจะปิดได้ จบแล้วครับ กับประสบการณ์เสียว ที่ไม่ได้มีให้เสียวบ่อยนัก เป็นครั้งแรกครับที่ยอมกัดฟันถือออร์เดอร์เป็นอาทิตย์ อย่างว่าแหล่ะครับ ความโชคดีคงไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อย ๆ นัก ซึ่งถ้าตอนนั้นมันวิ่งผิดทาง แล้วผมยอมตัด cut loss  แล้วหาจังหวะเข้าใหม่ ผมคงทำกำไรได้เยอะกว่านี้ เพราะคำว่าอีกนิดนึง เดี๋ยวมันก็ขึ้น เดี๋ยวมันก็ลง นี่แหล่ะครับ เลยทำให้เสียโอกาสมากมายที่จะทำกำไร อยากฝากเพื่อน ๆ นักเทรด โดยเฉพาะที่เป็นมือใหม่ อย่ามัวเสียดายครับ ถ้ามันผิดทาง ก็ตัดออกซะ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่ ใน 10 ครั้ง ผมว่ามันจะไม่ถูกเลยสักครั้งเดียวเชียวหรือ สู้ ๆ ครับเพื่อน ๆ ทุกท่าน.....

ท้ายนี้ขอบคุณเพื่อนนักเทรดทุกท่านที่อ่านกันจนจบ และหวังว่าอาจเป็นข้อเืตือนสติให้ใครหลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อยน่ะครับ...โชคดีกับการเทรดครับ

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,110.0.html

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ราคาและเวลา(บทเรียนจากมืออาชีพ)

          สิ่งหนึ่งที่ผมมีความสนใจใกล้เคียงกับในเวลาหลายปีของฉันของการเขียนบทความที่จะให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ใช้เวลามากเขียนเกี่ยวกับแนวคิดและกลยุทธ์ที่ทุกคนเขียนและพูดเกี่ยวกับ ถ้าผมทำก็จะไม่มีจุดในการอ่านบทความ เพื่อให้บรรลุนี้ แต่หมายถึงการแนะนำแนวคิดเกี่ยวกับความคิดและกลยุทธ์ที่บางครั้งบินในหน้าของภูมิปัญญาดั้งเดิม สิ่งที่ฉันได้พบกว่าปีก็คือเพียงแค่การตั้งคำถามอะไรแบบธรรมดา exposes ข้อบกพร่องและที่สำคัญที่สุดของโอกาสเปิดประตูเพื่อค้นหาจำนวนมากหา แต่ไม่พบ

          วันนี้เรามาลองคำถามภูมิปัญญาดั้งเดิมเมื่อมันมาถึงราคา, การจับจังหวะตลาดปริมาณและเวลาที่ตัวเอง โดยเฉพาะผมหมายถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาที่ตลาดจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เป้าหมายของการเก็งกำไรในตลาดใด ๆ คือการระบุตำแหน่งและเวลาที่ตลาดกำลังจะเปิดก่อนที่จะเปลี่ยน นั่นคือวิธีเดียวที่จะบรรลุอย่างแท้จริงความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสูงและความน่าจะเป็นจุดสูงเข้าสู่ตลาด

เพื่อให้เรื่องยาวสั้นเปิดตลาดในระดับราคาที่อุปสงค์และอุปทานเป็น"ที่สุด"out - สมดุลของ ในคำอื่น ๆ ที่จัดหา out - of - สมดุลมากขึ้นและความต้องการอยู่ในระดับราคาที่ดีเปิดในราคา ดังนั้นเราจะจำแนกระดับเหล่านี้ว่ากราฟราคา? บทเรียนลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถพบได้ในหลายบทความของฉันก่อน วันนี้ขอมุ่งเน้นไปที่ปัญหาเฉพาะหนึ่งเมื่อมันมาถึงการระบุแหล่งที่สำคัญและระดับความต้องการที่เรารู้นี่คือที่ราคาเปิด เวลาและปริมาณเป็นสองประเด็นที่สำคัญเมื่อมันมาถึงปกติการวิเคราะห์ทางเทคนิค 

          ตัวอย่างเช่นหนังสือการวิเคราะห์ทางเทคนิคบอกเราเมื่อมองหาการสนับสนุนหลัก (Demand) และความต้านทานระดับ (อุปทาน) เราควรมองหาพื้นที่กราฟที่มี"มากมาย"ของกิจกรรมการค้าและปริมาณ"หนัก" พวกเขาขอแนะนำให้เราควรมองหาระดับการสนับสนุนและความต้านทานที่มีเทียนจำนวนมากในพื้นที่และสูงกว่าปริมาณเฉลี่ย ประเภทนี้มีระดับกราฟตาจะดูดี แต่นี้คำตอบที่ดีที่สุดขณะที่พยายามจะหาจุดสำคัญของตลาดเปลี่ยน?

          เมื่อคุณคิดตรรกะง่ายๆผ่านผมคิดว่าคุณจะพบว่าที่จริงแล้วปกติการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีมันตอบไม่ถูกต้องและจริงเป็นจริงตรงข้าม เราเพียง แต่สรุปได้ว่าจะเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในราคาที่จะเกิดขึ้นในระดับราคาที่อุปสงค์และอุปทานเป็นส่วนใหญ่ออกจากยอดเงินของ คิดเกี่ยวกับมันในระดับราคาที่อุปสงค์และอุปทานเป็นส่วนใหญ่"out - of - สมดุล"คุณจะเห็นจำนวนมากที่มีกิจกรรมการค้าหรือกิจกรรมการซื้อขายน้อยมาก? ถ้าคุณบอกว่าน้อยมากคุณมีความถูกต้อง เนื่องจากการจัดหาใหญ่และความไม่สมดุลความต้องการ ในระดับราคาเดียวกันที่คุณมีศักยภาพในกิจกรรมที่มากที่สุด แต่เหตุผลที่คุณไม่ได้รับกิจกรรมการซื้อขายมากเป็นเพราะทุกคนมีศักยภาพที่อยู่บนด้านหนึ่งของตลาดในปัจจุบันซื้อ (Demand) หรือด้านข้าง (อุปทาน) ขาย . 

ดังนั้นจะมองภาพนี้เช่นในกราฟราคาเป็นอย่างไร มันไม่ได้เป็นเทียนจำนวนมากบนหน้าจอเช่นการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั่วไปชี้ให้เห็นก็จริงน้อยมากนอกจากนี้ภาพนี้จะไม่รวมถึงปริมาณเฉลี่ยข้างต้นก็จะเป็นปริมาณที่ต่ำมาก

          ตัวอย่างด้านล่างคือการเรียนรู้ติดตามขยายการค้าชั้น (XLT) ที่แสดงว่าสิ่งที่ผมแนะนำในส่วนนี้ ประกาศระดับอุปทานวงกลม นี่คืออุปทานเพราะราคาไม่ได้อยู่ที่นั่นและมีการลดลงไป แต่ดูจำนวนเทียนในระดับอุปทาน มันไม่ได้เป็นสิบยี่สิบหรือรายละเอียดเพิ่มเติม ... เป็นสี่เทียนน้อยแล้วราคาลดลง ถามตัวเองว่าทำไมราคาเท่านั้นสามารถใช้จ่ายดังกล่าวเป็นจำนวนเงินระยะสั้นของเวลาในระดับที่ คำตอบคือเพราะอุปสงค์และอุปทานมีความสมดุล out - of - ครั้งใหญ่ 

          ถ้าอุปสงค์และอุปทานไม่ได้ดังนั้น out - of - สมดุลในระดับที่ราคาจะต้องใช้เวลามากขึ้นในพื้นที่นั้น ระบุว่าราคาที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในระดับที่ผมสรุปได้ว่ามีความไม่สมดุลขนาดใหญ่และขายสั้นเมื่อราคา retraced กลับขึ้นไปที่ระดับอุปทาน ผมขายให้กับผู้ซื้อที่คิดว่า S & P คือการซื้อมูลค่าในระดับที่ ไม่สนใจว่าผู้ซื้ออาจจะอ่านหนังสือและการซื้อขายที่ระดับอุปทานเพราะหนังสือบอกว่ายังไม่ได้ระดับที่สำคัญเนื่องจากมีกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น ในขณะที่คุณหวังว่าจะสามารถเข้าใจการขาดกิจกรรมที่เป็นสิ่งที่ทำให้มันดังระดับอุปทานที่แข็งแกร่ง 

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,84.0.html

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การลงทุนในตลาด Forex

การลงทุนในตลาด Forex นั้น คล้ายกับการเก็งกำไร ลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา นั้นคือ ซื้อมา แล้วก็ขายไป กำไรที่ได้มาจากผลต่างของราคาซื้อ และราคาขาย แค่เปลี่ยนจากการซื้อหุ้น เป็นการซื้อเงินตราสกุลต่าง ๆ นั้นเอง

ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาด Forex นั้นสูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุน สำหรับผู้ที่พอรู้ หรือติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน อาจสงสัยว่าการลงทุนในตลาด Forex ซึ่งซื้อขายเงินตราสกุลเงินต่าง ๆ จะให้ผลตอบแทนสูงได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละวันอัตราการเปลี่ยนแปลงราคาของสกุลเงินต่าง ๆ นั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ไม่ถึง 1%) คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ สิ่งที่ทำให้ตลาด Forex ให้ผลตอบแทนสูงนั้นคือ ระบบ Leverage ซึ่งเปิดโอกาสผู้ลงทุน สามารถลงทุนและทำกำไรได้เหมือนมีทุน เป็นร้อยเท่าจากทุนจริงที่มีอยู่ และสามารถเลือกทำกำไรได้ทั้งขาขึ้น และขาลง ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับการลงทุนใน Gold Future, TFEX หรือ SET50 Future ในบ้านเรานั้นเอง เพียงแต่ว่า สัดส่วน Leverage นั้นสูงกว่ามาก

หลายคนอาจจะสงสัยกับคำว่าผลตอบแทนสูงนั้น สูงขนาดไหน?? เปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดทุนเพื่อเกงกำไรระยะสั้น โอกาสที่จะได้กำไร 10-20% ใน 1 วันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดได้บ่อย แต่สำหรับตลาด Forex กำไร 10-20% ต่อ 1 วันนั้นเป็นเรื่องปกติ และธรรมดามาก (บางจังหวะ เพียงแค่ 5-10 นาที ก็สามารถทำกำไร 10-20% ก็เป็นไปได้) จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนั้นสูงมาก และยั่วยวนกิเลสดีจริง ๆ แต่ ในทางกลับกันก็เป็นการลงทุนที่มีอัตราเสี่ยงสูงมาก (มี 100 ก็หมด 100 ได้ไม่ยาก ในเวลาอันสั้นเช่นกัน) ดังนั้นผู้ที่สนใจ และอยากลองลงทุนในตลาด Forex ก่อนลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนนะครับ 

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,49.0.html

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความผิดพลาดที่สำคัญ 9 ประการของนักลงทุน



1. ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่คุณจะสูญเสียได้
หนึ่งในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ที่คุณไม่สามารถจะเสียไปได้  เช่น จำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ผ่อนค่างวด หรือค่าเทอมลูก ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า การลงทุนด้วยเงินร้อน (Trading with scared money) และในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อในส่วนลึกของจิตใจ นักลงทุนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงด้วยเงินที่เปรียบเสมือนเงินที่ยืมมา พวกเขาจะลงทุนด้วยอารมณ์และความกลัว โดยปราศจากเหตุผล ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแนะนำให้คุณหยุดการลงทุน จนกระทั่งคุณสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณสามารถจะเสียได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทางการเงิน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยจำนวนก้อนที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น 50,000 บาท และลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท

2. ความต้องการความแน่นอน
เราทุกคนต้องมั่นใจว่าการลงทุนจะคุ้มค่า ดังนั้นเราจึงควรมองหาสัญญาณที่จะยืนยันจุดที่ควรเข้าลงทุน สัญญาณที่กล่าวถึงนี้มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องยูบีซี หรือ อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อทราบถึงข่าวสารว่าหลักทรัพย์ใดอยู่ในช่วงที่น่าลงทุน หรือหลักทรัพย์ใดที่ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อแน่ใจว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้น  นักลงทุนบางคนอาจรับฟังข่าวสารจากเพื่อน ครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่การตลาด (โบรกเกอร์) บางคนอาจรอจังหวะที่ดัชนีชี้นำทางเทคนิคทั้งหลายแสดงสัญญาณที่ดีจึงเข้าซื้อ สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญและควรระวังมาก ก็คือ การใช้เวลามากเกินไปจนคุณปล่อยให้ราคาสูงขึ้นโดยที่คุณยังไม่ได้ซื้อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นนั้นมีน้อยลง ทำให้แรงซื้อน้อยลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงจนกว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เปรียบได้กับเกมเก้าอี้ดนตรี คนที่ช้าที่สุดก็จะไม่มีเก้าอี้เหลือให้นั่ง นักลงทุนที่รอแล้วรออีกเพื่อให้มั่นใจมากๆ จริงๆแล้วก็คือคนที่จะซื้อที่จุดสูงสุดก่อนที่ราคาหุ้นจะตกลง แล้วก็จะโทษว่าเป็นเพราะเลือกหุ้นผิดตัว ความจริงคือข้อผิดพลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้น แต่เกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน
สิ่งที่ควรจำใส่ใจคือไม่มีความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ในการลงทุนครั้งใดๆก็ตาม สิ่งที่จะทำได้ก็คือศึกษาถึงความเสี่ยงประกอบกับความเชื่อมั่น

3. ใช้กำไรก่อนที่จะทำกำไรได้
ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการลงทุนที่ให้กำไรที่งดงาม แต่สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน เพราะมันให้คุณฝันหวานถึงกำไรก้อนใหญ่ คุณอาจจะบอกว่า “ว้าว! เงินลงทุนฉันเพิ่มขึ้น 15% ใน 2 วัน แล้วจะเพิ่มเป็น 50 % ใน 2 สัปดาห์และ อาจจะกลายเป็นเท่าตัวในพริบตา!”  สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ คุณอาจคิดถึงรถใหม่คันหรูที่คุณคิดจะซื้อ หรืออาจจะบอกเจ้านายคุณว่าเขาก็ทำแบบเดียวกันได้ ถึงตอนนี้คุณคงนึกภาพออก ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณยึดติดกับความใฝ่ฝันนั้น และไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะที่ไม่ดี และทำให้กำไรลดลง เพราะคุณถึงแต่ผลกำไรที่จะได้รับโดยไม่ยอมรับสถานการณ์จริง วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือ ต้องรู้ว่าจะขายทำกำไรเมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อลงทุน  และต้องจำไว้ว่าตลาดจะขึ้นสูงเท่าที่มันจะขึ้นได้  ไม่ใช่ว่าจะขึ้นสูงเท่าที่คุณคิดว่ามันจะขึ้นได้

4. การแสดงความคิดเห็น
เรากำลังจะบอกคุณว่าตลาดไม่สนใจคุณหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างอิงถึงบทวิเคราะห์ที่เกิดจากความอุตสาหะ หรืออ้างอิงถึง ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย  นั่นไม่สำคัญหรอก

5. คำ 3 คำที่จะฆ่าคุณได้ หวัง-ขอ-อธิษฐาน
ถ้าคุณพบว่าคุณทำ 1 อย่าง หรือมากกว่า ของคำที่กล่าวไว้ เมื่อคุณลงทุน คุณกำลังลำบากแล้วล่ะ! ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ตลาดไม่สนใจคุณหรอก ดังนั้น ความหวัง คำขอ หรือคำอธิษฐาน ทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
เมื่อคุณคาดการณ์ผิด วิธีการง่ายๆที่จะแก้ไขสถานกาณ์ คือ ขาย!!

6. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
ปัญหาใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่ทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้  อาจจะเป็นเวลาซัก 1 อาทิตย์ที่พวกเค้าจะลงทุนตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่อีก1 อาทิตย์จะทำสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  การทำเช่นนี้ทำให้เจ็บตัวได้ง่าย เนื่องจากไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่ากลยุทธ์ใด จะได้ผลหรือไม่ ดังนั้นต้องจำไว้ว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดไปจากแผนหรือวิธีการเมื่อคุณได้เริ่มต้นไปแล้ว  หากคุณพบว่ากลยุทธ์นั้นใช้ได้ผลเมื่อดูจากสถิติ ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเปลี่ยนกลยุทธ์  ทางที่จะทำกำไรคือ ซื้อขายซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงจุดที่กลยุทธ์นั้นจะใช้ไม่ได้ผล อีกด้านที่ต้องระวังก็คือ นักลงทุนมักจะขาดความมั่นคงและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแผนการลงทุนได้มากหลังจากขาดทุน 2-3 ครั้ง  ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

7. ไม่รู้ว่าจะถอนตัวจากการลงทุนที่ขาดทุนได้อย่างไร
มีหลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า  พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร  มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้สถานะการลงทุนไม่แย่ลงกว่าเดิม ก็คือต้องคิดก่อนที่จะลงทุนว่า เมื่อไรจะออกจากตลาด โดยอาจกำหนดเป็นจำนวนเงิน หรือ กำหนดจุดเป้าหมาย เช่น จุดที่เท่ากับจุดต่ำสุดในช่วงเวลา 15 นาทีก่อน ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ราคาตกลงจนถึงจุดหยุดขาดทุนโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความกลัวและความไม่เชื่อว่าคุณคิดผิด นั่นจะทำให้คุณเกิดปัญหาด้านการเงิน เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถหยุดขาดทุนได้โดยเร็ว

8. มีความมั่นใจ
คนที่เข้าลงทุนในตลาดนั่นมีหลายคนที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจด้านอื่นๆ เหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความมั่นใจสูงและคิดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะล้มเหลว  ความมั่นใจเช่นนี้กลายเป็นข้อเสียสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าลงทุนผิดพลาดและควรต้องหยุดการลงทุนที่ขาดทุน และเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน นั่นไม่เกี่ยวข้องกับตลาด รวมถึงปริญญา ประกาศนียบัตร ความสามารถในการจูงใจ หรือ ความรอบรู้เชิงธุรกิจ ไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เวลาที่คุณคาดการณ์ผิด

9. หลงใหลในหุ้นหรือการลงทุน
ห้ามหลงใหลในหุ้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะให้บทเรียนที่สาหัสแก่คุณ

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,46.0.html

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แผนการเทรด 3 ปี Admin Thaiforexschool.com

แผนการเทรด  3 ปี  ทำให้ได้ครับ เทรดให้ได้วันละ  10 จุดนั้นไม่ยากหรอกครับ   มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีวินัยและความอดทนได้มากแค่ไหนครับ ต้นๆปี 2015 ถ้าสำเร็จ พวกเรา มาร่วมฉลองความสำเร็จด้วยกันครับ โชคดีครับทุกท่าน  



วิธีที่จะเทรดให้ได้กำไรไม่มีให้ครับ หาด้วยตัวเองครับแต่จะมีกฎและข้อบังคับในการเทรดให้ครับ 
1. ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้วเข้าเป้า ให้เลิกทันที ( เป้าหมายไม่จำเป็นต้องวันละ 10 จุด อาจจะมากกว่านั้นก็ได้ ) 
2.ถ้าเปิดออเดอร์แรก แล้ว โดน Stop Loss ให้รอจังหวะและหาโอกาสเปิดออเดอร์ที่ 2 
  2.1 ถ้าออเดอร์ที่ 2  โดน Stop Loss ให้หยุดทันที 
  2.2 ถ้าออเดอร์ที่ 2 เข้าเป้าให้โอกาสตัวเองอีก 1 ครั้ง ในครั้งที่ 3 
หมายเหตุ .. ถ้าออเดอร์ที่ 2 ได้กำไรมากกว่าที่เสียในออเดอร์แรก ก็ให้หยุดทันทีครับ 
3. ไม่ว่าออเดอร์ที่ 3 จะเข้าเป้า หรือ โดน Stop Loss ก็ต้องหยุดทันทีครับ 

อย่าลืมนะครับ ว่า Volume lot ที่ใช้เทรด ต้องเอา Balance/10000 นะครับ  ผมเชื่อว่าถ้าพวกคุณและผมทำตามกฎนี้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่ชนะตลาดนี้หรอกครับ แต่เราจะมีเงินจากตลาดแห่งนี้ที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง 

ศึกษาข้อมูลได้ที่ http://siammetatrader.com/index.php/topic,74.0.html

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

สิ่งที่เราควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน...อาจจะใช้คำว่า "ควร" อย่างเดียวก็ไม่ถูก ต้องใช้คำว่า "ต้อง!!"
เพราะมันคือสิ่งที่ Trader ทุกคน ย้ำนะครับว่า ทุกคน!! ต้องทำ

สิ่งที่เราต้องทำคือ Cut Loss แปลง่ายๆก็คือ หยุดขาดทุน
เมื่อทิศทางของกราฟไม่เป็นไปตามที่เราคาด เราควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ไม่งั้น อาจจะหมดตูดได้...

สิ่งที่นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำก็ คือ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการ
เมื่อเกิดการขาดทุน จะมีความรู้สึกว่า "ต้องเอาคืนมาให้ได้เลย"
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดแบบนั้นละ ก็ล้างพอร์ตกันแทบทุกราย เอาง่ายๆคือตายเรียยบ...

ควรตั้ง Cut Loss ไว้ไม่เกิน 30% ของทุนทั้งหมด

เมื่อทำการ Cut Loss เสร็จก็ควรใจเย็นๆ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่โดยไร้อารมณ์ตอนที่ขาดทุนไป

"ชีวิคคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลง"


ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,107.0.html

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Forex กับ กราฟ(Graph)

กราฟ(Graph) มีความสำคัญกับ Forex เป็นอย่างมาก อาจจะบอกได้ว่า Forex คือร่างการ และ กราฟ(Graph) คือหัวใจ ก็ว่าได้ ถ้าคุณอ่าน กราฟ(Graph) หรือวิเคราะห์ กราฟ(Graph) เป็น คุณก็จะสามารถทำรายได้กับ Forex ได้มากยิ่่งขึ้น และเสียเงินน้อยลง แต่ถ้าคุณบอกว่า การเล่นค่าเงิน Forex มันต้องเล่นตามดวง ถ้าคุณคิดเช่นนั้น เราก็ขอแนะนำว่า ให้คุณเตีรยมเงิืนไว้เยอะๆ เพราะดวงคุณอาจจะต้องใช้เงินมากก็ได้

ขอ ให้คุณจำไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร หรือทำธุรกิจอะไร ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ ต้องทำตามขั้นตอนเสมอ เพราะความสำเร็จมันไม่มี "ทางลัด"หรอกเชื่อเถอะ เช่นเดียวกัน เมื่อคุณอยากมีรายได้จาำกการเทรดค่าเงิน Forex สิ่งแรกที่คุณควรศึกษาให้มาก นั้นคือ กราฟ(Graph) ไม่ใช้มั่วแต่หาทางลัด ว่าจะทำอย่างไรให้เทรดได้เงินเยอะๆ เชื่อเถอะว่ามันไม่มีทางลัดหรอก

คุณ ต้องเข้าใจว่า ถ้ากราฟเส้นนี้ขึ้นไปถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปมันจะ ขึ้นหรือลง หรือไซค์เวย์ แล้วถ้าเส้นกราฟ(Graph) ตัดกันนะจุดหนึ่ง มันจะหมายถึงขึ้นหรือลง และยังมีอะไรให้ศึกษาอีกมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมให้คุณไว้ที่นี่แล้ว ก็ลองศึกษากันดู

และการใช้ โปรแกรม กราฟ(Graph) จากหลายๆ ที่มาช่วยในการวิเคราะห์การขึ้นลงของค่าเงินนั้น เป็นการดีอย่างมาก เพราะโปรแกรมกราฟ(Graph) แต่ละตัวจะช่วยให้คุณวิเคราะห์ และเปรียบเทียบ การขึ้นลงของค่าเงิน Forex เพื่อสร้างความมั่นใจให้คุณทุกครั้งก่อนเทรด

คุณ อย่าเทรด Forex สวนทางกราฟ(Graph) เว้นแต่คุณมั่นใจจริงๆ ว่าคุณได้แน่ๆ แต่เราว่ามันเป็นการเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และการเทรด Forex ทุกครั้งต้องรอจังหวะ ถ้าขณะนั้นกราฟ(Graph) มีการไซค์เวย์ คือ มีการขึ้นลงค่อนข้างเร็วและถี่ เส้นกราฟ(Graph) ขยายออกทางด้านข้าง คุณไม่ควรที่จะรีบเทรด เพราะนั้นหมายถึง ความแน่นอนของเงินในกระเป๋าคุณ เริ่มลดน้อยลง

ดังนี้ การเล่นหุ้น หรือ การเทรดค่าเงิน Forex ต่อให้คุณ เป็นเซียนขนาดไหน คุณก็ต้องใช้ กราฟ(Graph) ในการที่จะทำให้คุณรวยได้ เรามีสิ่งหนึ่งที่ต้องการที่จะให้คุณท่องไว้ให้ขึ้นใจ คือ "วิเคราะห์กราฟ(Graph)ให้เป็น, รู้จักรอจังหวะ, อย่าโลภ, อย่าใช้อารมณ์, และอย่างลังเล"

ศึกษาข้อมูลได้ที่  http://siammetatrader.com/index.php/topic,60.0.html